ห่างหายจากการเขียน Blog ไปนานเลยทีเดียวกลับมาคราวนี้เปิดทริปตะลอนทัวร์แบบใกล้ๆ
ที่คุ้นเคย คุ้นตา และคุ้นใจกับมหาวิทยาลัยศิลปากร กลิ่นไอของความอบอุ่นจากวันอ.ศิลป์
พีระศรี ยังคงคุกรุ่นไม่จางหาย ในวันที่ 15 กันยายนของทุกๆ ปี
สถานที่กะทัดรัดอย่างสนามบาสฯ สวนแก้ว ลานอ.ศิลป์ฯ ตลอดจนซอกตึก
จะเต็มไปด้วยธงริ้วประดับตกแต่งสัญลักษณ์ เขียว ขาว แดง ป้ายโบร่อน
ผนังกำแพงถูกแต่งแต้มบรรจงเนรมิตเป็นรูปท่านอ.ศิลป์ พีระศรี อย่างสวยงามและสง่า
พร้อมแนบประโยคเด็ดที่จำขึ้นใจและยังคงใช้เป็นคติประจำตัว
“พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว”
วันนี้มาเก็บภาพบรรยากาศหลังจากความครื้นเครงสิ้นสุดลง
ในทุกๆปี เพื่อนร่วมห้อง ร่วมรุ่น ร่วมชั้น ที่ห่างหายไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งแบบตั้งใจ
หวังว่าจะไม่เจอผู้ใดแต่สุดท้ายเราก็กลับมาเจอกันอีกทุกที
และในปีนี้เราไม่ได้กลับมาเยี่ยมในฐานะศิษย์เก่าแต่ยังคงความเก๋ามาในฐานะศิษย์น้องใหม่ปริญญาโท
ที่หอบเอาดีกรีความง่วงผสมผสานความเบลอมาด้วยทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้ามายังรั้วมหาวิทยาลัย
หลังจากทำงานมาได้ร่วม 5 ปี
ความใฝ่รู้และความกะตือรือร้นหรือเรียกง่ายๆว่า “หมดไฟ” กำลังจะเผาผลาญชีวิตแห่งการออกแบบลง
เลยอยากกระแทกต่อมสร้างสรรค์ ด้วยการมาเรียนอีกครั้ง
ซึ่งตอนนี้เราก็ค้นพบข้อเท็จจริงแล้วว่า “ทฤษฎีนี้ผิดถนัด” แอบเข้าตามตำราสุภาษิตที่ว่า “อย่าจับปลาสองมือ”
เพราะนอกจากจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่ดีแล้ว
ทั้งการงานและการเรียนพากันทิ้งดิ่งอย่างน่าใจหาย!!!
ภาพตัดกลับมายังมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกครั้ง
ขณะนี้เวลา 5 โมงกว่าแล้ว ความตั้งใจแรกคือ
การไปเดินงานนิทรรศการภาพถ่ายอะไรซักอย่างที่เพื่อนร่วมชั้นเชิญชวน ครั้งนี้สามสาว
โบว์ บุศ กุ๋ย และอีกหนึ่งหนุ่ม..เอ็ม..ซึ่งไปรอที่หน้างานเรียบร้อยแล้ว
ตั้งใจจะไปเก็บภาพบรรยากาศในงานอย่างเต็มที่ และเวลาป่านฉะนี้ก็ควรแก่การเข้ารับฟังการสัมนาภาพถ่าย
พึ่งมาสังเกตให้เห็นตามท้องถนนว่า
วันนี้คนใส่เสื้อแดงเยอะนะ.........อืมม..มมม......
“วันครบรอบ
5 ปี เหตุการณ์ 19 กันยายน!!!”
ขอบใจมากที่เลือกมาลั้ลลาแถวถนนราชดำเนินในวันที่รากหญ้าเค้ามาสถาปนากัน
ระหว่างที่รอบุศในการเดินทางมาถึง
ก็ไปหาอะไรรองท้องก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
(อันที่จริงมันก็เสียเวลามากแล้วนะ เพราะช้าไปเป็นชั่วโมงจากกำหนดการเดิม 555 )
“ร้านโรตี
มะตะบะ ท่าพระจันทร์”
ชื่อร้านก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าควรสั่งเมนูอะไรเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยดี
มะตะบะที่นี่มีทั้งไก่ กุ้ง ปูและธัญพืช เมนูที่เราสั่งในวันนี้คือมะตะบะไก่
บรรยากาศภายนอกร้านที่ดูคึกคักวุ่นวายแถวนั้น
ช่างขัดกับตำแหน่งที่นั่งบนชั้นสองเสียเหลือเกิน “ค่าแอร์คนละ 3 บาท”
นี่คงเป็นเหตุผลหลักกระมังที่ทำให้คนบางตากว่าด้านล่าง อร่อยสมคำร่ำลือกับมะตะบะที่ว่า
กลิ่นเครื่องแกงคละคลุ้งภายนอกกรอบกรุบ ภายในหนานุ่ม วันนี้ประเดิมไปแค่เมนูเดียว
ก็บอกแล้วว่าเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้จริงจังกับอาหารแบบหนักหน่วงซักเท่าไร
เลยไม่ได้จัดเต็มแบบทุกๆครั้งที่ไปชิมมา
และแล้วพวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทาง
ภาพสลับกลับไปยังชายหนุ่มร่างดำกำลังขุ่นเคืองกับการผิดเวลานัดของสามสาว
แม้เมื่อเที่ยงของวันนี้ท้องฟ้าจะดูปลอดโปร่ง
........แต่ให้ตายเหอะ !!!........
ฝนห่าใหญ่กำลังเทลงมาเหมือนเทวดากำลังเล่นสงกรานต์.......ไอ้ย๊ะ!!!.......ไม่รู้จะอุทานออกมายังไง กล้องที่ถืออยู่ในมือแทบอยากจะขว้างทิ้ง
(อันที่จริงก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอกครับ ล้อเล่นให้ดูดราม่าไปงั้น)
ตั้งใจมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศในงานเต็มที่ แต่ด้วยเม็ดฝน + ลม + และความชื้น
ทำให้ต้องเก็บกล้องไปโดยปริยาย และในช่วงเวลานั้นเองรีบต่อสายไปหาเอ็มที่ยืนรอด้วยความอับชื้นในทันที
โบว์ “ตัวเองอยู่ไหนแล้วอ่ะ”
เอ็ม “ยืนเปียกอยู่เนี้ย รอที่ KTC”
โบว์ “เหรอ เออๆ เค้าอยู่เดอะเซอร์เคิลแล้ว
กำลังจอดรถ”
เอ็ม “อืม รอที่นี่แล้วกันนะ”
หลังจากจอดรถท่ามกลางสายฝนเสร็จ พวกเราก็รีบเดินไปหาเอ็มยังที่หมายในทันที
แต่ทว่าไม่เห็นวี่แววของชายสูงดำแต่อย่างใด อะไรฟร่ะ!!! ไหนบอกว่าจะรอตรงนี้ไงเล่า
แอบโวยวายในใจอย่างเงียบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เห็นชายสูงดำยืนรออยู่แล้วแน่ๆ
ตัดสินใจใช้โทรศัพท์อันมีค่าเงินในนั้นอยู่น้อยนิดโทรหาเอ็มอีกครั้ง
โบว์ “ตัวเองอยู่ไหนเนี่ย”
เอ็ม “ตัวเองอ่ะอยู่ไหน”
โบว์ “KTB”
เอ็ม “KTC
เฟ้ยยยยยย”
------------
เป็นอันว่าเราเสล่ออีกตามเคย จบประเด็นนี้ไป ------------
เวลาที่พวกเรามาถึงก็ประจวบเหมาะแก่การปิดงานพอดิบพอดี
(เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง) แต่ยังดีที่พอจะเหลือป้ายในงานให้พอได้รู้ว่าวันนี้ที่ตั้งใจมา
มันคืองาน “Love Camera Love Moment”
และด้วยความตั้งใจดั้นด้นมาไกลซะขนาดนี้
เลยคิดซะว่าถ่ายรูปรีวิวร้านอาหารไปแทนเลยละกัน........อืมมม....มมม
“KASA Japanese restaurant”
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่สไตล์การตกแต่งดึงดูดสายตาตั้งแต่ก่อนเข้าไปสั่งอาหารภายในร้านแล้ว
โดยมีการประดับตกแต่งไฟเพดานด้วยร่มแบบโบราณสีขาว
อันที่จริงก็นึกแค่ว่าเป็นการออกแบบอินทีเรียที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอเชีย
แต่หลังจากที่กลับมาเปิดอากู๋ Google ที่บ้านมาหาความหมายของคำว่า
KASA ก็ได้ความว่าหมายถึง “ร่ม” อันนี้เดาเอาเองว่าคงหมายถึงความรัก
เพราะคำว่า ai ai no kasa จะหมายถึง
“ร่มแห่งความรัก”
ที่เวลาเราอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นจะต้องมีการเขียนร่มคั่นกลางระหว่างชื่อของชาย
– หญิงเอาไว้ (>///<) น่ารักดีเนอะ
ประเดิมการเขียนรีวิวร้านอาหารอีกครั้งด้วยความรัก....ช่างโรแมนติคดีแท้
เมนูร้านอาหารที่นี่ก็เหมือนกับร้านอาหาร
Fuji (ฟูจิ) เลยก็ว่าได้
ข้อดีก็คือไม่ต้องไปเสี่ยงกับเมนูอาหารแปลกๆเฉพาะกิจแบบ Limited Edition แต่ข้อเสียก็คือ
งั้นไปกินร้านฟูจิกันดีกว่ามั้ยเพราะราคาสบายกระเป๋ากว่า 555
ครั้งนี้ถือว่ากินบรรยากาศเอาแล้วกัน เพราะชอบสไตล์การตกแต่งร้านอาหารแบบนี้
ดูมีที่มาที่ไปแบบคิดเอาเองว่าคอนเซปร้านดี พวกเรามากัน 4 คนก็จัดแจงสั่งกันไปคนละ
SET แบบจัดหนักตามคำเรียกร้อง
แม้จะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแต่เมนูเนื้อย่างกะทะร้อนก็อร่อยไม่แพ้กันกับซูชิปลาดิบที่สดใหม่
ความเหนียวนุ่ม รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ไม่แน่ใจว่าเพราะความหิวหรือบรรยากาศพาไป
ทำให้อะไรๆก็ดูลงตัวไปหมดเสียนี่ ทุกอย่างโดยรวมนับว่าโอเค
หมดมื้อนี้ไปแบบเบาๆทั้งท้องและกระเป๋าตังค์
เมื่อผ่านการเรียกน้ำย่อยด้วยโรตีมะตะบะ
ตามด้วยอาหารคาวแบบจัดหนักสไตล์ญี่ปุ่น ก็มาถึงคราวอาหารหวานล้างปากกันบ้าง
(นี่ถ้าไม่บอกว่าตั้งใจจะมาดูงานกล้องแล้วล่ะก็
คงคิดว่าตะลอนทัวร์กินจุ๊บจิ๊บกันแล้วใช่มั้ย???)
“Bake a wish Japanese Homemade Cake”
ร้านเบเกอร์รี่กุ๊กกิ๊กน่ารักสไตล์ญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
ความหอมของขนมตลบอบอวลกระแทกปลายจมูกอย่างจังเมื่อเพียงแง้มประตูเข้าไปเท่านั้น ภาพถ่ายคงมิอาจสื่อสารมาเป็นกลิ่นไปได้และเหนือคำบรรยาย “หอมโครต” ต้องพยายามทำจมูกบานๆ แล้วฟุดฟิดๆ
เอาความหอมเข้าไปในโพรงจมูกให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้
และความหอมก็ทำให้ลืมขนมที่วางอยู่ตรงหน้า ร้านโทนสีน้ำตาล ครีมและขาว
เป็นตัวกระตุ้นให้ขนมดูนุ่มนิ่มและละมุนลิ้นมากยิ่งขึ้น วันนี้ตั้งใจมาชิม Chou
a la crème หรือเอาง่ายๆว่า
ชูครีม มีทั้งหมด 3 รสด้วยกัน นอกจากชูครีมที่ขึ้นชื่อของร้านแล้ว
ก็ยังมีเค้กและเบเกอร์รี่อื่นๆอีกที่น่าลองชิม
ร้านน่ารักทำให้เบเกอร์รี่ก็น่ารักไปด้วย ผสมผสานกับความหอมที่โชยออกมาเป็นระยะๆ
ทำให้อดคิดถึงน้ำหอมกลิ่น Vanilla
ขึ้นมาทันที เพียงแค่เข้ามาในร้าน เข้ามาสัมผัสความหอม
แค่นี้ก็นับว่าคุ้มค่ากับเบเกรอ์รี่แล้วล่ะ
กลับบ้านมาอย่างสภาพไม่ต่างกับชูชก
เข้าใจความหมายของคำว่า “พอดี” ก็ต่อเมื่อมันไม่พอดีแล้วนี่สิ
ขอบคุณความหิวโหยที่ทำให้อะไรๆ ก็ดูอร่อยและดูเจริญหูเจริญตาไปเสียหมด
ขอบคุณร้านอาหารน่ารักๆที่เดอะเซอร์เคิล
ขอบคุณทุกท่านที่ยังคงร่วมเดินทางและติดตามงานเขียน
และขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยกดโฆษณาตามลิ้งค์ด้านขวามือ (อันนี้เพื่อปากท้อง ล้วนๆ)
แล้วพบกับตะลอนทัวร์จุ๊บจิ๊บอีกครั้ง...เร็วๆนี้
ขอบคุณร้านอาหารน่ารักๆที่เดอะเซอร์เคิล
ขอบคุณทุกท่านที่ยังคงร่วมเดินทางและติดตามงานเขียน
และขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยกดโฆษณาตามลิ้งค์ด้านขวามือ (อันนี้เพื่อปากท้อง ล้วนๆ)
แล้วพบกับตะลอนทัวร์จุ๊บจิ๊บอีกครั้ง...เร็วๆนี้
ภาพสวย ถ่ายรูปออกมาน่ากินมากครับ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่คุณไม่ระบุชื่อ คือใครคะ
ตอบลบ(วันหลังลงชื่อหน่อยดีมั้ย อิอิ)