21 กันยายน, 2554

Love camera Love moment

ห่างหายจากการเขียน Blog ไปนานเลยทีเดียวกลับมาคราวนี้เปิดทริปตะลอนทัวร์แบบใกล้ๆ ที่คุ้นเคย คุ้นตา และคุ้นใจกับมหาวิทยาลัยศิลปากร กลิ่นไอของความอบอุ่นจากวันอ.ศิลป์ พีระศรี ยังคงคุกรุ่นไม่จางหาย ในวันที่ 15 กันยายนของทุกๆ ปี สถานที่กะทัดรัดอย่างสนามบาสฯ สวนแก้ว ลานอ.ศิลป์ฯ ตลอดจนซอกตึก จะเต็มไปด้วยธงริ้วประดับตกแต่งสัญลักษณ์ เขียว ขาว แดง ป้ายโบร่อน ผนังกำแพงถูกแต่งแต้มบรรจงเนรมิตเป็นรูปท่านอ.ศิลป์ พีระศรี อย่างสวยงามและสง่า พร้อมแนบประโยคเด็ดที่จำขึ้นใจและยังคงใช้เป็นคติประจำตัว

พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว

วันนี้มาเก็บภาพบรรยากาศหลังจากความครื้นเครงสิ้นสุดลง ในทุกๆปี เพื่อนร่วมห้อง ร่วมรุ่น ร่วมชั้น ที่ห่างหายไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งแบบตั้งใจ หวังว่าจะไม่เจอผู้ใดแต่สุดท้ายเราก็กลับมาเจอกันอีกทุกที และในปีนี้เราไม่ได้กลับมาเยี่ยมในฐานะศิษย์เก่าแต่ยังคงความเก๋ามาในฐานะศิษย์น้องใหม่ปริญญาโท ที่หอบเอาดีกรีความง่วงผสมผสานความเบลอมาด้วยทุกครั้งที่เหยียบย่างเข้ามายังรั้วมหาวิทยาลัย

หลังจากทำงานมาได้ร่วม 5 ปี ความใฝ่รู้และความกะตือรือร้นหรือเรียกง่ายๆว่า หมดไฟ กำลังจะเผาผลาญชีวิตแห่งการออกแบบลง เลยอยากกระแทกต่อมสร้างสรรค์ ด้วยการมาเรียนอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เราก็ค้นพบข้อเท็จจริงแล้วว่า ทฤษฎีนี้ผิดถนัด แอบเข้าตามตำราสุภาษิตที่ว่า อย่าจับปลาสองมือ เพราะนอกจากจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่ดีแล้ว ทั้งการงานและการเรียนพากันทิ้งดิ่งอย่างน่าใจหาย!!!

ภาพตัดกลับมายังมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกครั้ง ขณะนี้เวลา 5 โมงกว่าแล้ว ความตั้งใจแรกคือ การไปเดินงานนิทรรศการภาพถ่ายอะไรซักอย่างที่เพื่อนร่วมชั้นเชิญชวน ครั้งนี้สามสาว โบว์ บุศ กุ๋ย และอีกหนึ่งหนุ่ม..เอ็ม..ซึ่งไปรอที่หน้างานเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจจะไปเก็บภาพบรรยากาศในงานอย่างเต็มที่ และเวลาป่านฉะนี้ก็ควรแก่การเข้ารับฟังการสัมนาภาพถ่าย พึ่งมาสังเกตให้เห็นตามท้องถนนว่า วันนี้คนใส่เสื้อแดงเยอะนะ.........อืมม..มมม......

วันครบรอบ 5 ปี เหตุการณ์ 19 กันยายน!!!
ขอบใจมากที่เลือกมาลั้ลลาแถวถนนราชดำเนินในวันที่รากหญ้าเค้ามาสถาปนากัน

ระหว่างที่รอบุศในการเดินทางมาถึง ก็ไปหาอะไรรองท้องก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา (อันที่จริงมันก็เสียเวลามากแล้วนะ เพราะช้าไปเป็นชั่วโมงจากกำหนดการเดิม 555 )

ร้านโรตี มะตะบะ ท่าพระจันทร์
ชื่อร้านก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าควรสั่งเมนูอะไรเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยดี มะตะบะที่นี่มีทั้งไก่ กุ้ง ปูและธัญพืช เมนูที่เราสั่งในวันนี้คือมะตะบะไก่ บรรยากาศภายนอกร้านที่ดูคึกคักวุ่นวายแถวนั้น ช่างขัดกับตำแหน่งที่นั่งบนชั้นสองเสียเหลือเกิน ค่าแอร์คนละ 3 บาท นี่คงเป็นเหตุผลหลักกระมังที่ทำให้คนบางตากว่าด้านล่าง อร่อยสมคำร่ำลือกับมะตะบะที่ว่า กลิ่นเครื่องแกงคละคลุ้งภายนอกกรอบกรุบ ภายในหนานุ่ม วันนี้ประเดิมไปแค่เมนูเดียว ก็บอกแล้วว่าเป็นแค่การเรียกน้ำย่อยเฉยๆ เท่านั้น ไม่ได้จริงจังกับอาหารแบบหนักหน่วงซักเท่าไร เลยไม่ได้จัดเต็มแบบทุกๆครั้งที่ไปชิมมา
ระหว่างนั้นบุศก็เดินทางมาถึง
และแล้วพวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทาง
ภาพสลับกลับไปยังชายหนุ่มร่างดำกำลังขุ่นเคืองกับการผิดเวลานัดของสามสาว

แม้เมื่อเที่ยงของวันนี้ท้องฟ้าจะดูปลอดโปร่ง
........แต่ให้ตายเหอะ !!!........

ฝนห่าใหญ่กำลังเทลงมาเหมือนเทวดากำลังเล่นสงกรานต์.......ไอ้ย๊ะ!!!.......ไม่รู้จะอุทานออกมายังไง กล้องที่ถืออยู่ในมือแทบอยากจะขว้างทิ้ง (อันที่จริงก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอกครับ ล้อเล่นให้ดูดราม่าไปงั้น) ตั้งใจมาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศในงานเต็มที่ แต่ด้วยเม็ดฝน + ลม + และความชื้น ทำให้ต้องเก็บกล้องไปโดยปริยาย และในช่วงเวลานั้นเองรีบต่อสายไปหาเอ็มที่ยืนรอด้วยความอับชื้นในทันที

โบว์         ตัวเองอยู่ไหนแล้วอ่ะ
เอ็ม          ยืนเปียกอยู่เนี้ย รอที่ KTC”
โบว์         เหรอ เออๆ เค้าอยู่เดอะเซอร์เคิลแล้ว กำลังจอดรถ
เอ็ม          อืม รอที่นี่แล้วกันนะ
หลังจากจอดรถท่ามกลางสายฝนเสร็จ พวกเราก็รีบเดินไปหาเอ็มยังที่หมายในทันที แต่ทว่าไม่เห็นวี่แววของชายสูงดำแต่อย่างใด อะไรฟร่ะ!!! ไหนบอกว่าจะรอตรงนี้ไงเล่า แอบโวยวายในใจอย่างเงียบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่เห็นชายสูงดำยืนรออยู่แล้วแน่ๆ ตัดสินใจใช้โทรศัพท์อันมีค่าเงินในนั้นอยู่น้อยนิดโทรหาเอ็มอีกครั้ง

โบว์         ตัวเองอยู่ไหนเนี่ย
เอ็ม          ตัวเองอ่ะอยู่ไหน
โบว์         “KTB”
เอ็ม          “KTC เฟ้ยยยยยย

------------ เป็นอันว่าเราเสล่ออีกตามเคย จบประเด็นนี้ไป ------------

เวลาที่พวกเรามาถึงก็ประจวบเหมาะแก่การปิดงานพอดิบพอดี (เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง) แต่ยังดีที่พอจะเหลือป้ายในงานให้พอได้รู้ว่าวันนี้ที่ตั้งใจมา มันคืองาน “Love Camera Love Moment” และด้วยความตั้งใจดั้นด้นมาไกลซะขนาดนี้ เลยคิดซะว่าถ่ายรูปรีวิวร้านอาหารไปแทนเลยละกัน........อืมมม....มมม

“KASA Japanese restaurant”
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่สไตล์การตกแต่งดึงดูดสายตาตั้งแต่ก่อนเข้าไปสั่งอาหารภายในร้านแล้ว โดยมีการประดับตกแต่งไฟเพดานด้วยร่มแบบโบราณสีขาว อันที่จริงก็นึกแค่ว่าเป็นการออกแบบอินทีเรียที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอเชีย แต่หลังจากที่กลับมาเปิดอากู๋ Google ที่บ้านมาหาความหมายของคำว่า KASA ก็ได้ความว่าหมายถึง ร่ม อันนี้เดาเอาเองว่าคงหมายถึงความรัก เพราะคำว่า ai ai no kasa จะหมายถึง ร่มแห่งความรัก ที่เวลาเราอ่านหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นจะต้องมีการเขียนร่มคั่นกลางระหว่างชื่อของชาย หญิงเอาไว้ (>///<) น่ารักดีเนอะ ประเดิมการเขียนรีวิวร้านอาหารอีกครั้งด้วยความรัก....ช่างโรแมนติคดีแท้
เมนูร้านอาหารที่นี่ก็เหมือนกับร้านอาหาร Fuji (ฟูจิ) เลยก็ว่าได้ ข้อดีก็คือไม่ต้องไปเสี่ยงกับเมนูอาหารแปลกๆเฉพาะกิจแบบ Limited Edition แต่ข้อเสียก็คือ งั้นไปกินร้านฟูจิกันดีกว่ามั้ยเพราะราคาสบายกระเป๋ากว่า 555 ครั้งนี้ถือว่ากินบรรยากาศเอาแล้วกัน เพราะชอบสไตล์การตกแต่งร้านอาหารแบบนี้ ดูมีที่มาที่ไปแบบคิดเอาเองว่าคอนเซปร้านดี พวกเรามากัน 4 คนก็จัดแจงสั่งกันไปคนละ SET แบบจัดหนักตามคำเรียกร้อง แม้จะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแต่เมนูเนื้อย่างกะทะร้อนก็อร่อยไม่แพ้กันกับซูชิปลาดิบที่สดใหม่ ความเหนียวนุ่ม รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ไม่แน่ใจว่าเพราะความหิวหรือบรรยากาศพาไป ทำให้อะไรๆก็ดูลงตัวไปหมดเสียนี่ ทุกอย่างโดยรวมนับว่าโอเค หมดมื้อนี้ไปแบบเบาๆทั้งท้องและกระเป๋าตังค์
เมื่อผ่านการเรียกน้ำย่อยด้วยโรตีมะตะบะ ตามด้วยอาหารคาวแบบจัดหนักสไตล์ญี่ปุ่น ก็มาถึงคราวอาหารหวานล้างปากกันบ้าง (นี่ถ้าไม่บอกว่าตั้งใจจะมาดูงานกล้องแล้วล่ะก็ คงคิดว่าตะลอนทัวร์กินจุ๊บจิ๊บกันแล้วใช่มั้ย???)

“Bake a wish Japanese Homemade Cake”
ร้านเบเกอร์รี่กุ๊กกิ๊กน่ารักสไตล์ญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ความหอมของขนมตลบอบอวลกระแทกปลายจมูกอย่างจังเมื่อเพียงแง้มประตูเข้าไปเท่านั้น ภาพถ่ายคงมิอาจสื่อสารมาเป็นกลิ่นไปได้และเหนือคำบรรยาย หอมโครต ต้องพยายามทำจมูกบานๆ แล้วฟุดฟิดๆ เอาความหอมเข้าไปในโพรงจมูกให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้ และความหอมก็ทำให้ลืมขนมที่วางอยู่ตรงหน้า ร้านโทนสีน้ำตาล ครีมและขาว เป็นตัวกระตุ้นให้ขนมดูนุ่มนิ่มและละมุนลิ้นมากยิ่งขึ้น วันนี้ตั้งใจมาชิม Chou a la crème หรือเอาง่ายๆว่า ชูครีม มีทั้งหมด 3 รสด้วยกัน นอกจากชูครีมที่ขึ้นชื่อของร้านแล้ว ก็ยังมีเค้กและเบเกอร์รี่อื่นๆอีกที่น่าลองชิม ร้านน่ารักทำให้เบเกอร์รี่ก็น่ารักไปด้วย ผสมผสานกับความหอมที่โชยออกมาเป็นระยะๆ ทำให้อดคิดถึงน้ำหอมกลิ่น Vanilla ขึ้นมาทันที เพียงแค่เข้ามาในร้าน เข้ามาสัมผัสความหอม แค่นี้ก็นับว่าคุ้มค่ากับเบเกรอ์รี่แล้วล่ะ
กลับบ้านมาอย่างสภาพไม่ต่างกับชูชก เข้าใจความหมายของคำว่า พอดี ก็ต่อเมื่อมันไม่พอดีแล้วนี่สิ
ขอบคุณความหิวโหยที่ทำให้อะไรๆ ก็ดูอร่อยและดูเจริญหูเจริญตาไปเสียหมด
ขอบคุณร้านอาหารน่ารักๆที่เดอะเซอร์เคิล
ขอบคุณทุกท่านที่ยังคงร่วมเดินทางและติดตามงานเขียน
และขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยกดโฆษณาตามลิ้งค์ด้านขวามือ (อันนี้เพื่อปากท้อง ล้วนๆ)


แล้วพบกับตะลอนทัวร์จุ๊บจิ๊บอีกครั้ง...เร็วๆนี้


ดูรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 กันยายน, 2554 18:16

    ภาพสวย ถ่ายรูปออกมาน่ากินมากครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากค่ะ ว่าแต่คุณไม่ระบุชื่อ คือใครคะ
    (วันหลังลงชื่อหน่อยดีมั้ย อิอิ)

    ตอบลบ