หลังจากเลื่อนกำหนดการล่องเหนือมานานหลายเดือนและหลายที มาคราวนี้แบกกล้อง ( ของชาวบ้าน ) อีกตามเคย ฟินแลนด์ไม่มีแขนของใบพัด ซึ่งพึ่งอ่านจบเมื่อกี้ แอบอิจฉานักเขียนที่ซานต้ายังอุตส่าห์ส่งของขวัญมาให้ ถึงแม้จะดีเลย์ก็ตาม....คล้ายกัน....ที่บ้านพึ่งจะไปฮันนีมูนกันแบบยกครอบครัวปล่อยหมวยยากูซ่านั่งบ้าอยู่หน้าคอม ฯ ที่บ้านเพียงลำพัง เซ็งเป็ด !!!
“โบว์ไปปายไม่ได้หรอก อ้วกตลอดทางแน่เลย” ป๊าพูดขณะกำลังดูรูปที่ถ่ายคู่กับม๊า สวีทหวานแหววยิ่งกว่าคู่ฮันนีมูนของพี่สาว- พี่เขย ซะอีกแหนะ
“ถ้าจะไปนะ ก็ต้องนั่งเครื่องฯ ไปลงเชียงใหม่เลยดีกว่า ไม่เสียเวลาด้วย “พี่สาวพูดสนับสนุนด้วยอีกคน”
....
....
....
จบกัน...ค่านั่งเครื่องแพงซะขนาดนั้น ชาตินี้คงไม่ได้ไปแล้วอ่ะ ลำพังค่าใช้จ่ายและค่าที่พักแบบธรรมดาก็หืดขึ้นคอจะแย่อยู่แล้ว ลำบากตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางแบบนี้ เห็นที่ปาย...ย...ย ที่อื่นคงรุ่งกว่า 555 ( แอบขำกลบเกลื่อนไปงั้นแหละ ทั้งๆ ที่ตาก็ร้อนผ่าวๆ )
กริ๊ง ...ง ...ง โทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความฝัน ...
“โบว์เสาร์ –อาทิตย์นี้ว่างมั้ยคะ” เสียงหนุ่มใหญ่ใจดีผู้คุ้นเคยโทรมา
“ยังไม่แน่อะ ทำไมหรอ” ฉันก็ตอบรับแบบไร้อารมณ์
“ว่าจะชวนไปปายหน่ะ”
“.......”
“.......”
ภาพตัดไปยังธรรมชาติ ภูเขา ป่าไม้ ถนนคนเดิน และ เครื่องบิน !!!
“แต่ถ้าโบว์ไม่ว่าก็ไม่เป็นไรนะ”
“ว่างค่ะ” เสียงกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันทีเหมือนปลากกระดี่ได้น้ำ หลังจากนั้นบทสนทนาอื่น ๆ ก็ดูเหมือนไม่น่าสนใจ
“คืนละ 3000” ป๊าทำตาโตเมื่อรู้ราคาที่พักที่จะได้เข้าอยู่ฟรี ๆ
“อืม...ม ไปเป็นตากล้องให้พี่โจ้เค้าหน่ะ”
“แล้วไม่กลัวเมารถเหรอ มันลำบากนะ” ป๊าเหมือนแอบคัดค้านอยู่ในใจ
“ไม่เมาหรอก เพราะโบว์ไปเครื่องบิน ฮ่าๆๆ” เหตุผลนานัปการ ร้อยแปดพันเก้า (อีกแล้ว) ทั้งอ้อนวอน ออดอ้อน สารพัดแล้วผลสุดท้าย
“ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกันนะ” ป๊าตัดบท
“เย้ .....”
เข้าใจความรู้สึกของใบพัดที่ได้รับของขวัญจากซานต้าแล้วหล่ะ ถึงแม้จะไม่ได้ไปไกลขนาดฟินแลนด์ แต่ก็ไฮโซระดับใกล้เคียงกัน หุ หุ
“ผู้สื่อขาว ช่างภาพ ตากล้อง “หรืออะไรก็ตามแต่ที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อการไปปายครั้งนี้ ในฐานะทีมงานที่คิดเอาเองว่าควรเก็บภาพบรรยากาศมาให้ได้มากที่สุด ฮ่า ๆ ๆ ๆ
27 กุมภาพันธ์ 2010
5.30 AM
มารับที่หน้าบ้านตรงเวลาแป๊ะเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นคนขี้เซานอนดึกตื่นสายก็เถอะ แต่ถ้ามีนัดกับพี่โจ้ทีไรไม่เคยจะผิดเวลาเลยซักครั้ง มาถึงฐานทัพอากาศดอนเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมเอกสารการบิน แอบดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง
ยัง ... ยังขึ้นบินไม่ได้เพราะหมอกลงหนามาก กว่าจะได้ขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศก็นานพอสมควร ต้องรอให้แดดเลียไล้โลมเจ้าหมอกและก้อนเมฆให้หมดท้องฟ้าเสียก่อน แล้วตกลงเจ้าพระอาทิตย์แกอิ่มรึยังหล่ะ ฮึ !!
ต่องแต่ง ต่องแต่ง กระดกหน้า กระดกหลัง หวังจะเก็บภาพบรรยากาศแบบ Bird eye view หยิบกล้องเตรียมกดชัตเตอร์ ฟรุ๊บ ...บ เครื่องบินลำน้อยบินหายเข้าไปในก้อนเมฆ แล้ววิวข้างทางก็กลายเป็นสีขาวโพลน อืม ... ม ขอบใจ
จากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินทานตะวัน
เพื่อไปรับสมาชิกมาเพิ่มอีก 2 คน พี่อ้อยและพี่พงษ์ที่มาคอยตั้งแต่เช้า ณ สนามบินทานตะวัน ท้องฟ้าเริ่มโปร่งมองเห็นทัศนียภาพเบื้องล่างชัดเจนขึ้น กระเดือกยาแก้เมาเม็ดแรกลงไป เหมือนจะดูเชิงสภาพร่างกาย แม้จะไม่ได้เมารถแต่อาจกลายเป็นเมาเครื่องบินแทนได้ 555 แล้วก็ทะยานมุ่งสยายปีกไปปายแบบอาการกระอักกระอ่วยของพี่อ้อย
“พี่ไหวมั้ยอ่ะ” ฉันเริ่มเป็นห่วงอาการพี่สาวที่ดูหนักเอาการ
“ไหวคะ ไหว” พี่อ้อยตอบกลับพร้อมกระชับยาดมที่อยู่ในมือไว้แน่น ฉันยังคงเก็บบรรยากาศเบื้องสูงอย่างไม่ลดละ หวังจะเอามาอวดที่บ้านอย่างเต็มที่โดยถือคติว่า “ไปปาย...ไปทีหลังแต่ดังกว่าเฟ้ย” ฮ่า ๆๆๆ
อ๊อก ...อ๊อก...กก อ๊อก ...อ๊อก...กก
(เสียงอ๊วกของพี่อ้อยแบบกระบิดกระเบียด) เอ่อ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้นอกจากจะให้กำลังใจอย่างเดียว ในใจก็คิดอยากจะบอกให้พี่โจ้ แวะปั้มกลางอากาศซะหน่อย พวกหนูอยากจะเข้าห้องน้ำอะค่ะ เหอ เหอ เหอ
ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่อ้อยที่มีอาการเมาเครื่องบินอย่างสงบเสงี่ยม โดยไม่มีการสร้างอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด ไม่อย่างนั้นก็คงอ๊วกกลางอากาศไปอีกคน
12.00 PM
จากกรุงเทพ- เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม. หวังฝากท้องมื้อเที่ยงแบบยูนานที่ปาย เมนูที่ทางบ้านแนะนำนักแนะนำหนาว่าห้ามพลาด “ขาหมู หมั่นโถว” แค่คิดก็สยอง อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งแบบบ้าระห่ำมาได้ไม่กี่วันต้องมายอมสยบกับเจ้าเนี้อไขมันที่นี้หรือเนี้ยะ
แม้เส้นทางเชียงใหม่-ปาย จะใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่!!!! เส้นทางหฤโหดยิ่งกว่ากรุงเทพมาเชียงใหม่ซะอีก ควานหายาแก้เมาหวังจะกระเดือกลงไปเป็นครั้งที่ 2 อยู่ ๆ ก็แสบแก้วหูขึ้นมาแบบเฉียบพลัน ความกดอากาศที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน แต่อากาศแบบนี้แก้วหูเหมือนจะแตกปวดหูชนิดน้ำตาไหล หันไปหาพี่อ้อยที่มีอาการไม่ต่างกัน สองนักบินด้านหน้านั้นไม่เป็นอะไรกันเลยเหรอ พวกหนูหูจะแตกกันแล้วพี่
ปายเหนือเมฆ !!
ด้วยความที่มีภูเขาอยู่เยอะ เครื่องบินจึงจำเป็นต้องบินให้สูงเข้าไว้แบบปลอดภัยไว้ก่อน หันลงมามองจากด้านบนแล้วสยองแทนคนที่กำลังเดินทางอยู่เบื้องล่าง เค้าจะรู้กันไหมนะว่าเส้นทางที่พวกเค้ากำลังเดินทางอยู่นั้นยังอีกยาวไกล แม้คนที่เคยไปปายมาแล้วจะบอกว่าลำบาก ทั้งเหนื่อย ทั้งเมา (แบบไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์ ) แต่คนบนนี้ก็รู้สึกไม่ต่างกันเพียงแต่เป็นความเมา บน- ล่าง แนวแกน y ไม่ใช่ซ้าย- ขวาแนวแกน x
ก่อนลงจอดที่สนามบินเล็กต้องอาศัยการวนจอดไต่ระดับความสูงนึกภาพตามง่ายๆเหมือนน้ำเวลากดชักโครกนั่นแหละ วนไปรอบๆแบบนั้น เพราะถูกเขาล้อมรอบกลายเป็นแอ่งขนาดใหญ่ วน ๆ ๆ ไต่ระดับความสูงลงมาชนิดที่ว่าไม่มีเครื่องเล่นในสวนสนุกอันไหนที่จะทำให้เสียวได้ขนาดนี้แล้วหล่ะ ถ้าบินมากับ nok mini อาจจะดูนุ่มนวลกว่านี้ แต่นี้ ... โทหลักสูตรการบินโปรยยาเชียวนะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ
สโลแกนเด่นหลากลางเสาที่พักผู้โดยสาร ชนิดที่เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ใครเป็นคนคิดนะ เข้าท่าดี ไม่ได้คิดว่าตัวเองไฮโซแต่หนูโบว์แอบเนียนอย่างมีรสนิยมมากกว่า อิอิ หวังเก็บบรรยากาศท้องฟ้าสีเข้ม ต้นไม้ ภูเขาและความเขียวขจี แต่หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ ตลอดเวลาที่อยู่เหนือสิ่งที่คิดว่าป็นก้อนเมฆเหล่านั้น มันคือ หมอกจางๆและควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้....ใช่ ข้างล่างคือการเผาป่า และสิ่งที่เห็นคือการไหม้ของต้นไม้สีเขียวเหล่านั้นจนกลายเป็นสีดำ สีน้ำตาลปะปนกันไป ภูเขาหัวโล้นมากมายจนน่าใจหาย โอย อย่าได้ให้กลุ่มกรีนพีทมาเห็นเชียว
ก่อนจะลงสู่ภาคพื้นดินด้วยความปลอดภัยและครบ 32
แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ที่พัก “Paicome hide Away Resort” มาดูบรรยากาศภายในห้องนอนและวิวรอบข้างแบบเต็มๆตา ที่พักซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆตามชื่อเรียก ไม่มีถนน หรือรีสอร์ทข้างเคียงให้วุ่นวาย ฉันจัดเสื้อผ้าและสัมภาระที่หิ้วมาให้เรียบร้อยก่อนตรวจสอบอุปกรณ์ของกล้องคู่ใจอีกครั้ง แล้วก็ถึงคราวกองทัพต้องเดินด้วยท้องกับร้านอาหารสไตล์ยูนาน ขาหมูหมั่นโถว และอาหารอีกนานาชนิดเรียกได้ว่าทั้งกินทั้งถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์ อร่อยสมคำร่ำลือแป้งหนานุ่มข้างนอกกรอบเกรียม ตัดหวานด้วยรสชาติขาหมู จิบน้ำชาร้อนๆหอมหวานละเมียดลิ้น แล้วก็อดคิดถึงน้ำหนักตามความอร่อยไปเสียไม่ได้ วิ่งออกกำลังกายมาแทบตายมาเสียเชิงอาหารมื้อนี้หมดเลย กระซิก-กระซิก
มาต่อด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ชมบรรยากาศรอบๆเมือง ทั้งยามเย็นและยามค่ำ ตบท้ายด้วยตลาดคนเดินที่ใครๆก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหมือนมาเดินข้าวสารไม่มีผิดยังไงยังงั้นแหละ ถึงแม้ความเจริญจะสู้ในเมืองมหานครอย่างกรุงเทพไม่ได้ แต่คนก็อุตส่าห์หลั่งไหลมาเที่ยวเยี่ยมชมที่นี่ให้มีความคึกคักไม่ต่างกัน ฉันเพลิดเพลินกับการดูชีวิตผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ในมุมๆหนึ่งก็คงจะมีใครซักคนคอยดูชีวิตของฉันเช่นเดียวกัน ของฝากประเภทโปสการ์ด สมุดทำมือ ดูเหมือนจะเป็นทางออกของฉัน เสียเวลาอยู่นานกับการจับจ่ายซื้อของฝากทั้งที่ตั้งใจฝากและไม่ได้ตั้งใจ กับโคมลอยขนาดใหญ่ราคาถูกที่หาซื้อไม่ได้ที่กรุงเทพ เป็นความตั้งใจของพี่ๆที่ร่วมเดินทางว่าจะปล่อยโคมลอยที่รีสอร์ท ทิ้งทวนก่อนมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ เป็นการจุดเทียนแบบทุเลทุเลเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เจ้าโคมลอยทะยานไปแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง คำอธิฐานของฉันก่อนที่โคมลอยจะจากไป “ขออย่าให้ไปตกบนหลังคาบ้านใครเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”
28 กุมภาพันธ์ 2010
ตื่นเช้ามาด้วยอากาศสดชื่นได้กลิ่นชื้นๆของน้ำค้างตามกิ่งไม้ บรรยากาศแบบว่าขอนอนต่อดีกว่า แม้จะอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นมากเพียงใด แต่ทว่าความหนาวด้านนอกก็ชนะใจอยู่ เลยออกมากินบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าด้วยเวลาเกือบเที่ยง !!! ก่อนจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปยังสนามบินเชียงใหม่
เป็นการพบปะสังสรรค์ระหว่างนักขับเครื่องบินและผู้เล่นเครื่องบินบังคับ (ไฮโซกันจริงๆ)
ก่อนจากลาความไฮโซเพียงชั่วครู่และชั่วยามกลับกลายจากเจ้าหญิงมาเป็นนางซินเซ่อซ่าเหมือนเดิม
ขอบคุณท้องฟ้าที่ทำให้เห็นว่าชีวิตของคนเรามันเล็กนัก
ขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้การเดินทางมีความหมาย
ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางที่ทำให้มีประสบการณ์บนท้องฟ้าแบบใหม่ๆ
ขอบคุณผู้อ่าน เพื่อนๆทั้งหลายที่สละเวลามาแบ่งปันรอยยิ้ม
O_o
ตอบลบปายในมุมมองใหม่
สวยดีนะ