27 กุมภาพันธ์, 2553

ทริปปายเหนือเมฆ

                หลังจากเลื่อนกำหนดการล่องเหนือมานานหลายเดือนและหลายที มาคราวนี้แบกกล้อง ( ของชาวบ้าน ) อีกตามเคย  ฟินแลนด์ไม่มีแขนของใบพัด  ซึ่งพึ่งอ่านจบเมื่อกี้ แอบอิจฉานักเขียนที่ซานต้ายังอุตส่าห์ส่งของขวัญมาให้  ถึงแม้จะดีเลย์ก็ตาม....คล้ายกัน....ที่บ้านพึ่งจะไปฮันนีมูนกันแบบยกครอบครัวปล่อยหมวยยากูซ่านั่งบ้าอยู่หน้าคอม ฯ ที่บ้านเพียงลำพัง  เซ็งเป็ด !!!

โบว์ไปปายไม่ได้หรอก อ้วกตลอดทางแน่เลยป๊าพูดขณะกำลังดูรูปที่ถ่ายคู่กับม๊า สวีทหวานแหววยิ่งกว่าคู่ฮันนีมูนของพี่สาว- พี่เขย ซะอีกแหนะ 
ถ้าจะไปนะ ก็ต้องนั่งเครื่องฯ ไปลงเชียงใหม่เลยดีกว่า ไม่เสียเวลาด้วย พี่สาวพูดสนับสนุนด้วยอีกคน
....
....
....
จบกัน...ค่านั่งเครื่องแพงซะขนาดนั้น  ชาตินี้คงไม่ได้ไปแล้วอ่ะ  ลำพังค่าใช้จ่ายและค่าที่พักแบบธรรมดาก็หืดขึ้นคอจะแย่อยู่แล้ว  ลำบากตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางแบบนี้  เห็นที่ปาย...ย...ย ที่อื่นคงรุ่งกว่า  555  ( แอบขำกลบเกลื่อนไปงั้นแหละ  ทั้งๆ ที่ตาก็ร้อนผ่าวๆ )

กริ๊ง ...ง ...ง  โทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความฝัน ...
 โบว์เสาร์ อาทิตย์นี้ว่างมั้ยคะเสียงหนุ่มใหญ่ใจดีผู้คุ้นเคยโทรมา 
ยังไม่แน่อะ ทำไมหรอ  ฉันก็ตอบรับแบบไร้อารมณ์
 ว่าจะชวนไปปายหน่ะ
.......
.......
ภาพตัดไปยังธรรมชาติ ภูเขา ป่าไม้ ถนนคนเดิน  และ  เครื่องบิน  !!!
แต่ถ้าโบว์ไม่ว่าก็ไม่เป็นไรนะ
ว่างค่ะเสียงกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันทีเหมือนปลากกระดี่ได้น้ำ หลังจากนั้นบทสนทนาอื่น ๆ ก็ดูเหมือนไม่น่าสนใจ
คืนละ 3000  ป๊าทำตาโตเมื่อรู้ราคาที่พักที่จะได้เข้าอยู่ฟรี ๆ
อืม...ม ไปเป็นตากล้องให้พี่โจ้เค้าหน่ะ
แล้วไม่กลัวเมารถเหรอ มันลำบากนะป๊าเหมือนแอบคัดค้านอยู่ในใจ 
ไม่เมาหรอก เพราะโบว์ไปเครื่องบิน ฮ่าๆๆเหตุผลนานัปการ ร้อยแปดพันเก้า (อีกแล้ว) ทั้งอ้อนวอน ออดอ้อน สารพัดแล้วผลสุดท้าย
ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกันนะป๊าตัดบท
เย้ .....
เข้าใจความรู้สึกของใบพัดที่ได้รับของขวัญจากซานต้าแล้วหล่ะ  ถึงแม้จะไม่ได้ไปไกลขนาดฟินแลนด์  แต่ก็ไฮโซระดับใกล้เคียงกัน  หุ หุ
ผู้สื่อขาว ช่างภาพ ตากล้อง หรืออะไรก็ตามแต่ที่ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อการไปปายครั้งนี้ ในฐานะทีมงานที่คิดเอาเองว่าควรเก็บภาพบรรยากาศมาให้ได้มากที่สุด ฮ่า ๆ ๆ ๆ

27 กุมภาพันธ์  2010
5.30  AM
มารับที่หน้าบ้านตรงเวลาแป๊ะเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง  แม้จะเป็นคนขี้เซานอนดึกตื่นสายก็เถอะ  แต่ถ้ามีนัดกับพี่โจ้ทีไรไม่เคยจะผิดเวลาเลยซักครั้ง มาถึงฐานทัพอากาศดอนเมืองตั้งแต่เช้าตรู่  เพื่อเตรียมเอกสารการบิน  แอบดูพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง

ยัง ... ยังขึ้นบินไม่ได้เพราะหมอกลงหนามาก  กว่าจะได้ขึ้นไปลอยอยู่กลางอากาศก็นานพอสมควร  ต้องรอให้แดดเลียไล้โลมเจ้าหมอกและก้อนเมฆให้หมดท้องฟ้าเสียก่อน แล้วตกลงเจ้าพระอาทิตย์แกอิ่มรึยังหล่ะ ฮึ !!

ต่องแต่ง ต่องแต่ง กระดกหน้า กระดกหลัง  หวังจะเก็บภาพบรรยากาศแบบ Bird eye view หยิบกล้องเตรียมกดชัตเตอร์ ฟรุ๊บ ...บ เครื่องบินลำน้อยบินหายเข้าไปในก้อนเมฆ แล้ววิวข้างทางก็กลายเป็นสีขาวโพลน อืม ... ม ขอบใจ

จากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินทานตะวัน
เพื่อไปรับสมาชิกมาเพิ่มอีก 2 คน พี่อ้อยและพี่พงษ์ที่มาคอยตั้งแต่เช้า ณ สนามบินทานตะวัน  ท้องฟ้าเริ่มโปร่งมองเห็นทัศนียภาพเบื้องล่างชัดเจนขึ้น กระเดือกยาแก้เมาเม็ดแรกลงไป  เหมือนจะดูเชิงสภาพร่างกาย  แม้จะไม่ได้เมารถแต่อาจกลายเป็นเมาเครื่องบินแทนได้ 555 แล้วก็ทะยานมุ่งสยายปีกไปปายแบบอาการกระอักกระอ่วยของพี่อ้อย

พี่ไหวมั้ยอ่ะ ฉันเริ่มเป็นห่วงอาการพี่สาวที่ดูหนักเอาการ
ไหวคะ ไหว พี่อ้อยตอบกลับพร้อมกระชับยาดมที่อยู่ในมือไว้แน่น ฉันยังคงเก็บบรรยากาศเบื้องสูงอย่างไม่ลดละ หวังจะเอามาอวดที่บ้านอย่างเต็มที่โดยถือคติว่า ไปปาย...ไปทีหลังแต่ดังกว่าเฟ้ย ฮ่า ๆๆๆ

อ๊อก ...อ๊อก...กก  อ๊อก ...อ๊อก...กก

(เสียงอ๊วกของพี่อ้อยแบบกระบิดกระเบียด) เอ่อ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้นอกจากจะให้กำลังใจอย่างเดียว  ในใจก็คิดอยากจะบอกให้พี่โจ้  แวะปั้มกลางอากาศซะหน่อย  พวกหนูอยากจะเข้าห้องน้ำอะค่ะ  เหอ เหอ เหอ

ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่อ้อยที่มีอาการเมาเครื่องบินอย่างสงบเสงี่ยม  โดยไม่มีการสร้างอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด  ไม่อย่างนั้นก็คงอ๊วกกลางอากาศไปอีกคน

12.00 PM
จากกรุงเทพ- เชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม.  หวังฝากท้องมื้อเที่ยงแบบยูนานที่ปาย  เมนูที่ทางบ้านแนะนำนักแนะนำหนาว่าห้ามพลาด ขาหมู หมั่นโถว แค่คิดก็สยอง อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งแบบบ้าระห่ำมาได้ไม่กี่วันต้องมายอมสยบกับเจ้าเนี้อไขมันที่นี้หรือเนี้ยะ

แม้เส้นทางเชียงใหม่-ปาย จะใช้เวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น แต่เชื่อหรือไม่!!!! เส้นทางหฤโหดยิ่งกว่ากรุงเทพมาเชียงใหม่ซะอีก  ควานหายาแก้เมาหวังจะกระเดือกลงไปเป็นครั้งที่ 2 อยู่ ๆ ก็แสบแก้วหูขึ้นมาแบบเฉียบพลัน ความกดอากาศที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่ามากหรือน้อยแค่ไหน  แต่อากาศแบบนี้แก้วหูเหมือนจะแตกปวดหูชนิดน้ำตาไหล  หันไปหาพี่อ้อยที่มีอาการไม่ต่างกัน สองนักบินด้านหน้านั้นไม่เป็นอะไรกันเลยเหรอ พวกหนูหูจะแตกกันแล้วพี่

ปายเหนือเมฆ !!
ด้วยความที่มีภูเขาอยู่เยอะ  เครื่องบินจึงจำเป็นต้องบินให้สูงเข้าไว้แบบปลอดภัยไว้ก่อน  หันลงมามองจากด้านบนแล้วสยองแทนคนที่กำลังเดินทางอยู่เบื้องล่าง เค้าจะรู้กันไหมนะว่าเส้นทางที่พวกเค้ากำลังเดินทางอยู่นั้นยังอีกยาวไกล แม้คนที่เคยไปปายมาแล้วจะบอกว่าลำบาก  ทั้งเหนื่อย ทั้งเมา (แบบไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์ ) แต่คนบนนี้ก็รู้สึกไม่ต่างกันเพียงแต่เป็นความเมา บน- ล่าง แนวแกน y ไม่ใช่ซ้าย- ขวาแนวแกน x

ก่อนลงจอดที่สนามบินเล็กต้องอาศัยการวนจอดไต่ระดับความสูงนึกภาพตามง่ายๆเหมือนน้ำเวลากดชักโครกนั่นแหละ วนไปรอบๆแบบนั้น เพราะถูกเขาล้อมรอบกลายเป็นแอ่งขนาดใหญ่ วน ๆ ๆ ไต่ระดับความสูงลงมาชนิดที่ว่าไม่มีเครื่องเล่นในสวนสนุกอันไหนที่จะทำให้เสียวได้ขนาดนี้แล้วหล่ะ  ถ้าบินมากับ nok mini อาจจะดูนุ่มนวลกว่านี้ แต่นี้ ... โทหลักสูตรการบินโปรยยาเชียวนะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ 

ขี้เกียจ ... อย่างมีสไตล์ ไปปายอย่างมีรสนิยม
สโลแกนเด่นหลากลางเสาที่พักผู้โดยสาร  ชนิดที่เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ใครเป็นคนคิดนะ เข้าท่าดี ไม่ได้คิดว่าตัวเองไฮโซแต่หนูโบว์แอบเนียนอย่างมีรสนิยมมากกว่า อิอิ หวังเก็บบรรยากาศท้องฟ้าสีเข้ม ต้นไม้ ภูเขาและความเขียวขจี แต่หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ ตลอดเวลาที่อยู่เหนือสิ่งที่คิดว่าป็นก้อนเมฆเหล่านั้น มันคือ หมอกจางๆและควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจรู้....ใช่ ข้างล่างคือการเผาป่า และสิ่งที่เห็นคือการไหม้ของต้นไม้สีเขียวเหล่านั้นจนกลายเป็นสีดำ สีน้ำตาลปะปนกันไป ภูเขาหัวโล้นมากมายจนน่าใจหาย โอย อย่าได้ให้กลุ่มกรีนพีทมาเห็นเชียว

ก่อนจะลงสู่ภาคพื้นดินด้วยความปลอดภัยและครบ 32


แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ที่พัก  “Paicome hide Away Resort” มาดูบรรยากาศภายในห้องนอนและวิวรอบข้างแบบเต็มๆตา ที่พักซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆตามชื่อเรียก ไม่มีถนน หรือรีสอร์ทข้างเคียงให้วุ่นวาย ฉันจัดเสื้อผ้าและสัมภาระที่หิ้วมาให้เรียบร้อยก่อนตรวจสอบอุปกรณ์ของกล้องคู่ใจอีกครั้ง แล้วก็ถึงคราวกองทัพต้องเดินด้วยท้องกับร้านอาหารสไตล์ยูนาน ขาหมูหมั่นโถว และอาหารอีกนานาชนิดเรียกได้ว่าทั้งกินทั้งถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์ อร่อยสมคำร่ำลือแป้งหนานุ่มข้างนอกกรอบเกรียม ตัดหวานด้วยรสชาติขาหมู จิบน้ำชาร้อนๆหอมหวานละเมียดลิ้น แล้วก็อดคิดถึงน้ำหนักตามความอร่อยไปเสียไม่ได้ วิ่งออกกำลังกายมาแทบตายมาเสียเชิงอาหารมื้อนี้หมดเลย กระซิก-กระซิก

มาต่อด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ชมบรรยากาศรอบๆเมือง ทั้งยามเย็นและยามค่ำ ตบท้ายด้วยตลาดคนเดินที่ใครๆก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหมือนมาเดินข้าวสารไม่มีผิดยังไงยังงั้นแหละ ถึงแม้ความเจริญจะสู้ในเมืองมหานครอย่างกรุงเทพไม่ได้ แต่คนก็อุตส่าห์หลั่งไหลมาเที่ยวเยี่ยมชมที่นี่ให้มีความคึกคักไม่ต่างกัน ฉันเพลิดเพลินกับการดูชีวิตผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ในมุมๆหนึ่งก็คงจะมีใครซักคนคอยดูชีวิตของฉันเช่นเดียวกัน ของฝากประเภทโปสการ์ด สมุดทำมือ ดูเหมือนจะเป็นทางออกของฉัน เสียเวลาอยู่นานกับการจับจ่ายซื้อของฝากทั้งที่ตั้งใจฝากและไม่ได้ตั้งใจ กับโคมลอยขนาดใหญ่ราคาถูกที่หาซื้อไม่ได้ที่กรุงเทพ เป็นความตั้งใจของพี่ๆที่ร่วมเดินทางว่าจะปล่อยโคมลอยที่รีสอร์ท ทิ้งทวนก่อนมุ่งหน้าไปเชียงใหม่ เป็นการจุดเทียนแบบทุเลทุเลเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้เจ้าโคมลอยทะยานไปแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง คำอธิฐานของฉันก่อนที่โคมลอยจะจากไป ขออย่าให้ไปตกบนหลังคาบ้านใครเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

28 กุมภาพันธ์  2010
ตื่นเช้ามาด้วยอากาศสดชื่นได้กลิ่นชื้นๆของน้ำค้างตามกิ่งไม้ บรรยากาศแบบว่าขอนอนต่อดีกว่า แม้จะอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นมากเพียงใด แต่ทว่าความหนาวด้านนอกก็ชนะใจอยู่ เลยออกมากินบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าด้วยเวลาเกือบเที่ยง !!! ก่อนจะขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปยังสนามบินเชียงใหม่


เป็นการพบปะสังสรรค์ระหว่างนักขับเครื่องบินและผู้เล่นเครื่องบินบังคับ (ไฮโซกันจริงๆ)
ก่อนจากลาความไฮโซเพียงชั่วครู่และชั่วยามกลับกลายจากเจ้าหญิงมาเป็นนางซินเซ่อซ่าเหมือนเดิม

ขอบคุณท้องฟ้าที่ทำให้เห็นว่าชีวิตของคนเรามันเล็กนัก
ขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้การเดินทางมีความหมาย
ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางที่ทำให้มีประสบการณ์บนท้องฟ้าแบบใหม่ๆ
ขอบคุณผู้อ่าน เพื่อนๆทั้งหลายที่สละเวลามาแบ่งปันรอยยิ้ม
ขอบคุณ....................

ดูรูปภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่

1 ความคิดเห็น: