05 ธันวาคม, 2552

นั่งรถไฟไปกาญจนบุเรง

มาละเหวย มาละวา วันพ่อปีนี้พาพ่อมาฮา ตาละลา ขอตั้งชื่อทริปการมาเที่ยวครั้งนี้ว่า “นั่งรถไฟไปกาญจนบุเรง” เมื่อแรงบันดาลใจจากนิ้วกลมประสบผลสำเร็จซักที หลังจากที่พลาดเมื่อครั้งที่ไปสังขละกับสามทหารเสือ มาครั้งนี้ไม่ได้มาลำบากเพียงคนเดียว หากแต่มากันทั้งครอบครัว !!!! อืมมมม....ครอบครัว Backpacker กันจริงๆ

ฉันซึ่งมีโรคประจำตัว คือ การอดนอนก่อนการเดินทางเป็นประจำครั้งนี้ก็เช่นกัน นั่งปั่นงานในคืนวันศุกร์แบบหามรุ่งหามค่ำ ประมาณว่าอยากไปเที่ยวแต่ดันมีภาระ อย่ากระนั้นเลย อยากไปพักผ่อนอย่างสบายใจ ก็ต้องอดทนทำมันซะให้เสร็จดีกว่า จนกระทั่งปาเข้าไป 6 โมงเช้า

แดดแทงตา อากาศเย็นแทงใจ ประจวบเหมาะกับเวลาที่กระชั้นชิด พวกเรากำลังจะตกรถไฟ !!! ทุกคนเริ่มมีอาการวิตกกังวลว่าจะไปทันขบวนรถไฟหรือไม่ จะมีก็แต่เพียงคนเดียวที่นั่งยิ้มลุ้นอยู่ลึกๆว่า ถ้าตกรถไฟก็น่าจะมันส์ดีนะ อ่า...ใช่แล้ว ฉันซึ่งกำลังนึกถึงเหตุการณ์การตกรถไฟของเหล่านักเขียนทั้งสามจากหนังสือเรื่องหน่อไม้ แอบยิ้มในใจกับประโยคที่ว่า การเดินทางมันต้องมีอุปสรรค เพื่อเก็บมาเล่าให้มีเรื่องราวประทับใจ ผลปรากฏว่า...พวกเรามาทัน !!! (เซ็งเป็ด)

7 นาฬิกาของเช้าวันที่ 5 ธันวาคม
สมาชิกพร้อมหน้าพร้อมตากันที่สถานีรถไฟธนบุรี จัดการตรวจสอบสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนขึ้นขบวนรถไฟที่มาช้าเป็นปกติเกือบ 45 นาที อืม..มมม ตามสโลแกนที่ว่า “ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง”

นับย้อนเวลากลับไปเป็นเวลาหลายปีที่ไม่ได้นั่งรถไฟ มันนานมากแล้ว นานมากซะจนจำกลิ่นไอของความเก่าและความขลังของรถไฟไม่ได้ คนที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นยิ่งกว่าคือป๊ากับม้า ขนาดเรายังตื่นเต้นแล้วผู้ใหญ่ที่อยากย้อนเวลากลับไปสมัยหนุ่ม-สาวอีกครั้งอยู่ตลอดเวลา จะตื่นเต้นขนาดไหน และที่สำคัญ พวกเรากำลังจะนั่งรถไฟฟรี !!! ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ประชาชนคนไทยขึ้นรถไฟฟรี “รถไฟฟรีเพื่อประชาชน” ตาเหลือบไปเห็นข้อความดังกล่าวอยู่ข้างบนลิบๆ กิจกรรมก่อนออกเดินทางกระตุ้นต่อมอะดีนาลีนคือ เก้าอี้ดนตรี ประมาณว่าผู้คนล้านแปดต่างจับจองที่นั่งกันตั้งแต่รถไฟยังไม่เทียบชานชาลาดี พอรถเริ่มชะลอตัวลงกระเป๋าสัมภาระต่างๆก็กรูกันโยนขึ้นไปทางหน้าต่าง

“อ้าว..ววว... เฮ้ยยยย” ยังไม่ทันขาดคำ ทุกคนก็กรูกันขึ้นไปนั่งบนรถไฟ ปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามกะแสคนที่เบียดเสียด แอบงงปนตกใจ เฮ้ย..ยยย มีจองกันแบบนี้ด้วยเหรอ เอาวะ ถ้าขืนพวกเรายืนกันตลอดเส้นทางมีหวัง ทริปสนุกคงกลายเป็นทริปสลดแน่ๆ ว่าแล้วก็ร่วมลงโรงไปกับกิจกรรมเก้าอี้ดนตรีกันแต่เช้าตรู่

เสียงล้อรถไฟที่บดไปตามรางเป็นจังหวะเดียวกันแบบเดิมซ้ำๆ แอบปล่อยใจลอยไปตามลมลัดเลาะไปตามบานหน้าต่าง ผ่านพุ่มไม้ข้างทาง บ้านคน เสาไฟ และนาข้าว มือก็กดชัตเตอร์เก็บภาพบรรยากาศข้างนอกอย่างสนุกสนาน ส่วนข้างในก็แอบเหงาและเศร้าอยู่เงียบๆเมื่อมองเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ป๊ากับม้าแอบโรแมนติก พี่สาวกับ(ว่าที่)พี่เขยแอบทำซึ้ง หันมามองที่ด้านข้างของตัวเอง อืม..มมม พื้นที่ว่างเปล่าและกระเป๋าเป้หนึ่งใบ ผ่านสถานี “พระราชวังสนามจันทร์” สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยนั่งรถไฟมารับน้องร่วมกับเพื่อนฝูง มีเรื่องราวประทับใจเกิดขึ้นที่นี่และบางทีก็อาจจะจบลงจากที่นี่ด้วยเหมือนกัน

ฉึก....ฉัก....ฉึก....ฉัก....ฉึก....ฉัก....
ฉึก....ฉัก....ฉึก....ฉัก....ฉึก....ฉัก....

แอบนั่งเงียบๆปล่อยความคิดให้ว่างเปล่า แล้วฉันก็ต้องแปลกใจ ว่าเสียงของหัวใจก็เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน !!!

(ลิงค์วิดิโอ YOUTUBE : สะพานข้ามแม่น้ำแคว)
http://www.youtube.com/watch?v=_fPMTOJ5pSA

สถานีถ้ำกระแซ คือจุดหมายปลายทางที่พวกเรากำลังจะลง
“อ้าว.ววว..วว อีกป้ายเดียวก็จะถึงสะพานสายมรณะแล้วนะ” ฉันโวยวาย เพราะกะจะถ่ายภาพตอนรถไฟกำลังเลี้ยวช่วงหัวโค้ง
“อ่อ คือที่พักของพวกเราถึงก่อนน่ะ” พี่สาวพูดพร้อมกับเตรียมตัวสะพานกระเป๋า สมาชิกคนอื่นๆกระโดดจากขบวนตามลงมา

“สวนไทรโยค”
ป้ายชื่อรีสอร์ทริมแม่น้ำแควตั้งเด่นเป็นสง่า เออ ใกล้ดีจัง ยังไม่ทันจะเดินก็ถึงแล้ว แพริมน้ำ คือที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ แต่ก่อนจะลงไปถึงตลิ่งริมน้ำ ก็ผ่านกิจกรรมมากมายที่ยั่วน้ำลายไม่ใช่เล่น ฐานกิจกรรมที่ผูกติดบนต้นไม้หลายสิบฐาน สร้างความตื่นเต้นได้ไม่ใช่น้อย เหมือนมาเข้าค่ายทหารเลยแฮะ แอบยิ้มในใจ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะมาเล่นกัน...

ความเป็นเด็กไม่เข้าใครออกใคร
หลังจากที่บุฟเฟ่ต์อาหารมื้อเที่ยงกันจนอิ่มหนำสำราญ กิจกรรมที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้คือการล่องแพ ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหนมันมากกว่ากันระหว่างความตื่นเต้นกับความกลัว เพราะฉันว่ายน้ำไม่เป็น แต่ถ้าไม่ได้มาล่องแพก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองกาญจน์ ดังนั้นจึงตกลงกับป๊าว่าจะอยู่ใกล้ๆและว่ายลอยคออย่างสงบเสงี่ยม ระยะทางจากจุดที่พักไกลออกไปร่วม 2 กิโล !!! ผ่านเส้นทางลดเลี้ยวเลาะไปตามริมน้ำ ต้นไม้และโขดหิน

(ลิงค์วิดิโอ YOUTUBE : พิธีกรสองสาวนำล่องแพ)
http://www.youtube.com/watch?v=EgU_4LyttrU

(ลิงค์วิดิโอ YOUTUBE : ล่องแพ)
http://www.youtube.com/watch?v=K3H1M_Ya1Hk

“อูยยยยย...ยยย” เสียงหลุดจากปากเมื่อน้ำกระเซ็นผ่านร่องแพ มาโดนร่องตูด
“โครตเย็นเลยป๊า” ฉันหันไปมองคุณพ่อที่รักที่นั่งตื่นเต้นไม่แพ้กัน

งั้นเราต้องวอล์มร่างกายกันก่อน ว่าแล้วก็เอาขาจุ่มลงไปในน้ำ เข้าตามตำราที่ว่า “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” เมื่อถึงจุดปล่อยตัวสละแพ เพื่อนร่วมทริปราว 30 คน ก็หายต่อมลอยคอกันอยู่ในน้ำ ปล่อยตัวไหลไปตามกระแส แต่เดี๋ยวก่อน.....ป๊าที่จับมือฉันไว้อย่างแนบแน่นในช่วง 5 นาทีแรกหายไปไหน กุลีกุจอว่ายเป็นลูกหมาตกน้ำอยู่พักนึง ก่อนจะเห็นพี่สาวและ (ว่าที่) พี่เขยลอยคอนำหน้าไป

“โบว์ว่ายตามมาดิ” ป๊าตะโกนอยู่ลิบๆ อะไรกันฟร่ะไหนพูดว่าเป็นห่วงลูกสาวซะดิบดี พอกระโจนลงน้ำปุ๊บก็ลัลล้ามีความสุขลอยคออยู่คนเดียว แอบกระเสือกกระสนว่ายวนสู้กับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่พักใหญ่ “ปลาที่ว่ายทวนน้ำก็เหมือนปลาที่ตายแล้ว”
แต่แล้วก็เข้าใจสัจธรรมที่ว่า อย่าฝืนในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ ก่อนที่จะปล่อยตัวให้ไหลไปตามกระแสน้ำเหมือนชาวบ้าน เออ...แล้วตรูจะว่ายทวนน้ำหาพระแสงอะไร เหนื่อยชิบ !! ระหว่างที่ลอยคอตามน้ำก็จะมีพี่เลี้ยงคอยบอกทางเป็นระยะๆ
“อ้าววว ขวาหน่อยๆ ซ้ายหน่อยๆ” ตกลงจะให้ขวาหรือให้ซ้ายละนั่น ไหนจะต้องคอยหลบเรือลากแพลำต่อไปที่สวนขึ้นมายังต้นน้ำ ไหนจะต้องคอยหลบเพื่อนร่วมทริปกันเอง และยังไม่ทันขาดคำ ป๊าบบบบบ กิ่งไม้ข้างทางก็ฟาดหน้าเข้าให้โดนไปเต็มๆ เจ็บครับเจ็บ T_T และก่อนจะถึงจุดขึ้นบก 100 เมตรโอ้ !!!!! แม่เจ้า น้ำไหลเชี่ยวแรงมาก แรงสุดๆคือถ้าใครไม่สามารถว่ายไปเกาะทุ่นได้ก็หลุดจากตรงนี้แล้วไปเจอกันอีกทีที่ปลายน้ำเลยทีเดียว ฉันผู้ซึ่งว่ายน้ำไม่เป็น อาศัยมือไม้ที่ยื่นมาให้ช่วยเกาะและลากขึ้นฝั่ง ตอนนั้นสนุกสุดๆปนกลัวแบบสุดๆเหมือนกัน

สวัสดีคนแปลกหน้า
ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย และง่วงแบบสุดๆความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่คืนก่อนเริ่มออกฤทธิ์ บุฟเฟ่ต์อาหารกลางคืนดูเหมือนจะอร่อยเป็นพิเศษเพราะทุกคนหมดแรงไปกับการล่องแพ โดยเฉพาะช่วงขาที่โครตจะเมื่อย เพราะพยายามฝืนทวนน้ำแบบไม่ดูสังขารตัวเอง กิจกรรมรอบกองไฟเริ่มต้นขึ้น เมื่อทุกคนไปรวมตัวกันเพื่อจุดเทียนชัยถวายพระพร คนแปลกหน้าร่วมสองร้อยคนที่มาจากต่างที่ ต่างถิ่น ต่างชาติ ต่างภาษา ทริปนี้เรียกได้ว่า แคมป์ปิ้งอินเตอร์เนชั่นเนลอย่างแท้จริง กิจกรรมสมานฉันท์ (อีกแล้ว) ไม่ขอเล่าเพราะความเมามันส์ต้องไปสัมผัสกันเอาเอง ฮ่าๆๆๆๆ

(ลิงค์วิดิโอ YOUTUBE : กิจกรรมรอบกองไฟ)
http://www.youtube.com/watch?v=Oi_psziMCU0


(ลิงค์วิดิโอ YOUTUBE : Flying LED)
http://www.youtube.com/watch?v=7dwlq3YS24c

กิจกรรมนับสิบผ่านไป ท่ามกลางความอิดโรยของคณะที่เข้าพักรวมทั้งสมาชิกของพวกเรา ก่อนจะแยกย้ายตามอัธยาศัยมาตึ่งโป๊ะกันต่อหน้าแพของตัวเอง นานแล้วที่ไม่ได้ร่วมกินเหล้าเคล้าแสงดาวกับป๊า นานแล้วที่ไม่ได้นั่งดึกดื่นดูจันทร์ด้วยกัน แต่ที่ไอ้นานนี่อ่ะมันพึ่งจะเมื่อวานนี้เองนะ ฮ่าๆๆๆ ครอบครัวทัวร์ทั่วไทยอย่างเรามีหรือจะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่สนใจมัน

“เรามาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเหอะ” ฉันเสนอความเห็น
“จะตื่นไหวเหรอ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนนี่” ป๊าถามด้วยความเป็นห่วง
“นั่น สินะ” ฉันพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าอดนอนและคงไม่บ้าพลัง อดนอนอีกเป็นคืนที่สองแน่แท้ ว่าแล้วก็หายตัวแฝงกายในผ้านวมผืนหนาเป็นคนแรกก่อนที่สมาชิกที่เหลือจะทยอยกันตามมาติดๆ

7 นาฬิกาของเช้าวันที่ 6 ธันวาคม
“โบว์ตื่นมาดูหมอกที่น้ำดิ” เสียงสมาชิกคนหนึ่งพูดขึ้น ปลุกทำงายความฝันอันหวานบ้างไม่หวานบ้าง
“อือ....” เสียงมีอยู่แค่นั้น แม้พยายามลืมตาอันตี่ๆให้โตและกว้างเท่าใดก็เหมือนไม่เป็นผล
“ถ่ายวิดิโอเอาไว้นะ ลืมตาไม่ขึ้นอ่ะ....” ว่าแล้วก็ผล็อยหลับไป เทคโนโลยีช่างมีความสำคัญและมีประโยชน์ก็ตรงนี้แหละ แม้จะพลาดการดูหมอกด้วยตาตัวเองแต่ก็ยังตามเก็บได้ด้วยตาของคนอื่น อืม...มมมม ไม่ต่างกัน


(ลิงค์วิดิโอ YOUTUBE : หมอกยามเช้า)
http://www.youtube.com/watch?v=iqxWc04BXOw

กิจกรรมของวันนี้คือการเดินป่า เข้าถ้ำเชลยไปดูความงดงามของหินงอกหินย้อย สารภาพตามตรงว่าเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ไม่ได้รองรับสำหรับการมาเที่ยวแบบนี้เลย นึกว่าจะมานอนแพชิลด์ๆริมน้ำเฉยๆ เป็นครั้งแรกที่ลากรองเท้าแตะเดินป่าพร้อมด้วยกางเกงขาสั้น เส้นทางเรียบสลับลาดชันไม่เป็นอุปสรรค เพราะเคยผ่านการเดินทางที่โหดกว่านี้มากนัก ไม่รู้ว่าใช้ระยะเวลาในการเดินทางนานเท่าไรแต่ความงามของธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้าช่างคุ้มค่านัก แม้จะไม่สวยเหมือนในหนังสือท่องเที่ยวหรือนิตยสารสารคดี แต่ความงามที่ว่าเกิดจากจินตนาการของคนที่พยายามมองแง่งหินแก่งหินให้เป็นรูปคน สัตว์ สิ่งของ สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ร่วมทริปและสร้างเสียงฮือฮาได้ดี อา..นั่น โขลงช้าง นั่นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม นั่นคือเทพีเสรีภาพ และอีกนานาชนิดที่จินตนาการได้อย่างลึกซึ้ง และดูเหมือนทุกคนจะเห็นด้วยกับจินตนาการที่ว่า เพราะเมื่อไกด์นำทางฉายไฟไปตรงจุดไหน ทุกคนก็จะหันไปดูและร่วมจินตนาการตาม “ศิลปินคือคนมีศิลปะ กองขยะดูดีดีก็มีศิลป์” ไม่ได้หมายความว่าหินงอกหินย้อยเหล่านั้นคือขยะ แต่หากจะหมายถึงว่าความงามและคุณค่าเกิดขึ้นจากคนมองว่าสิ่งนั้นสวยงามและมีค่าหรือไม่ก็เท่านั้นเอง ศิลปินดีแท้ ขนาดเราเองหินบางก้อนยังมองไม่ออก พอได้ประโยคชี้นำว่าคล้ายสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็ค่อยถึงกับบางอ้อว่า ....เออ....เหมือนจริงด้วย !!!

(ลิงค์วิดิโอ YOUTUBE : ถ้ำเชลย)
http://www.youtube.com/watch?v=bZ7Si2CK4Eo

Adventure Park
กลับสู่ที่พักด้วยกิจกรรมของรีสอร์ท กระโดดหอ (ชิลด์ๆ) ที่เคยผ่านการเล่นมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง กิจกรรมภายในรีสอร์ทก็มีซะมากมายจนไม่อยากที่จะกลับทั้ง Flying Train / Krasae Swing / Krasae Cliff / Krasae Tower / Indianna Jones แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราประจวบกับเวลาที่เหลือน้อยเต็มที รถไฟกำลังจะมาและพวกเรากำลังจะไป ภาวนาให้ขบวนรถไฟมาถึงสถานีอย่างช้าๆ เพราะยังอยากกอบโกยความสุขจากที่นี่หอบกลับไปที่กรุงเทพอีก ในใจยังคงคิดถึงการจากมาไม่ได้ว่าต้องเล่นเก้าอี้ดนตรียื้อยุดฉุดกระชากลากถูกว่าจะได้ที่นั่งมา ครั้งนี้จะเป็นเช่นไร

เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย...
สามโบกี้สุดท้ายโล่งอย่างน่าใจหาย แอบดีใจที่จะได้ยึดโบกี้แบบจริงจังเสียที สลับซ้ายที ขวาที ตามทิศทางของแสงแดด ถ้ารถไฟไม่มีคนแน่นแบบนี้ก็น่านั่งดีนะ ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ในใจยังคงค้างอยู่ที่รีสอร์ทหันไปดูป๊ากับม้า รอยยิ้มเปื้อนหน้าเต็มที่แสดงถึงความสุขแบบสุดๆ พี่สาวก็เช่นกัน ฉันยังคงกดชัตเตอร์ถ่ายไปเรื่อยๆ นั่งเงียบๆฟังเสียงล้อรถไฟที่บดไปตามรางเฉกเช่นขามาเหมือนเคย

ฉึก....ฉัก....ฉึก....ฉัก....ฉึก....ฉัก...
ตึก....ตัก....ตึก....ตัก....ตึก....ตัก....

แล้วเสียงหัวใจก็กลายเป็นหนึ่งเดียว

2 ความคิดเห็น: