17 กรกฎาคม, 2551

สู่สังขละ....สักครั้ง

ทำไมต้องสังขละ
สังขละมีอะไรดีและทำไมต้องไปที่นั่น คำถามเดิมๆจากเพื่อนรอบข้างยังคงกรอกหู .........นั่นสินะ.........เอาเป็นว่าก่อนหน้านั้นแทบจะไม่รู้จัก “สังขละ” แม้แต่นิด อยู่จังหวัดอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้น อำเภอนี้ตั้งอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยหว่า ??........กลับกัน.......ถ้าหากไปถามกลุ่มของนักตกปลา กลุ่มถ่ายภาพ และนักท่องเที่ยวคนอื่นๆอาจได้คำตอบที่แตกต่างไปจากฉัน สังขละเป็นหมายต้นๆของนักตกปลาน้ำจืด ในตอนแรกก็ว่าจะไปอาศัยรถติดสอยห้อยตามไปกับกลุ่มตกปลานั้นด้วย (ที่พึ่งรู้จักกันมาได้ประมาณสองสามเดือน) แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเพราะไม่ใช่จุดมุ่งหมายเดียวกัน ที่สำคัญ...........ฉันตกปลาไม่เป็น !!.............

ขอบคุณโลกของอินเตอร์เนตที่ทำให้รู้ว่า สังขละก็มี Unseen in Thailand กับเค้าด้วยเหมือนกัน เมืองบาดาลที่หลับใหลอยู่ใต้กระแสน้ำ แต่นั้นก็ยังไม่จุดประกายไฟให้เท้าก้าวออกจากแหล่งชุมชนเมืองได้ จนกระทั่งบทสนทนาระหว่างฉันกับเพื่อนกลุ่มตกปลาสิ้นสุดและเริ่มบทสนทนาใหม่ระหว่างเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน เพื่อนของโลกอินเตอร์เนต ที่ออกจะดูสนิทสนมได้พูดคุยมากกว่าเพื่อนในโลกของความเป็นจริงเสียด้วยซ้ำ บทสนทนาขั้นพื้นฐานเริ่มต้นขึ้นเหมือนในทุกๆวัน และก่อนที่ฉันจะเอ่ยว่า อยากไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ เพื่อนคนนั้นที่ชื่นชอบการถ่ายภาพก็ส่งลิงค์ของกลุ่มถ่ายภาพมาให้ดู

“สวยโครตเลยอ่ะ” ฉันพูดหลังจากคลิกดูภาพสุดท้ายจบลง


ภาพถ่ายมุมต่างๆกระจายทั่วทุกซอกทุกมุมของสังขละ เหมือนตัวเองได้แอบลอบเกาะติดตามไปกับแก๊งค์นั้นด้วย ...........ไม่น่าเชื่อ...........ว่าภาพเพียงไม่กี่สิบใบ จะมีอิทธิพลดึงดูดใจได้มากถึงเพียงนี้

ภาพท้องฟ้าขมุกขมัวหลังจากฝนตกในยามเช้า สะพานมอญที่ทอดตัวยาวกลางแม่น้ำ ภาพเด็กๆกระโจนลงน้ำอย่างสนุกสนาน เบื้องล่างมีเรือหางยาวแหวกกระแสน้ำเป็นทางยาว ผืนน้ำระยิบระยับต้องแสงอาทิตย์ พระเดินบิณฑบาตและแม่ชีสีชมพู ผู้เฒ่าผู้แก่ หนุ่มสาวชาวมอญ และเมืองบาดาล ภาพทั้งหมดเหล่านั้นคงจะดีถ้าได้เห็นด้วยตาตัวเองและมันเคลื่อนไหว............ว่ามะ !!! ................

แรงบันดาลใจ ตอนที่ 1
นอกจากบรรดาภาพสวยๆ มุมแปลกๆ ที่เพื่อนส่งมายั่วน้ำลายให้ดู ก่อนไปสังขละเหล่านั้นแล้ว บรรดาแพคเกจ ท่องเที่ยว ก็ทำเอาเคลิ้มได้เหมือนกัน ยอมรับว่า ไม่เคยคิดจะไปแบบชะโงกทัวร์ตั้งแต่แรก เพราะอยากเก็บบรรยากาศแบบไม่รีบร้อนและต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ( เบี้ยน้อย หอยน้อยนั่งเอง )

นอนแพ....กลางแม่น้ำแควน้อย
....บรรยากาศยามค่ำคืนสดชื่น........
ตื่นเช้า.....ชมพระอาทิตย์ขึ้น....เล่นน้ำยามเช้า
สายๆนั่งเรือล่องทะเลสาปเขาแหลม....สัมผัสเมืองบาดาล

คำเชื้อเชิญยั่วน้ำลายสะกิดปลายเท้าและหัวใจให้ล่องลอยไปไกลซะตั้งแต่ต้น เป็นการบรรยายภาพบรรยากาศที่สังขละได้ดีทีเดียว เคยเห็นแต่คำเชิญชวนโฆษณาประเภทที่ว่า ที่พักเราสะอาด สะดวก สุขอนามัย ใกล้แหล่งชุมชน บ้างก็กระหน่ำลดแลกแจกแถมโปรโมชั่นกันสุดๆ จองห้องพักในวันนี้ พิเศษ อาหารเช้าหนึ่งมื้อพร้อมผลไม้ ( ดึงดูดใจโครตๆ....ประชดนะ ) กรุงเทพที่ฉันอยู่มีอาหารครบสามมื้อเลยอ่ะ ( ยังไม่เอามาอวด กร๊ากกกกกกก ) อันที่จริงการโฆษณาใดๆก็ตามเหล่านั้น ก็มีข้อดีในตัวของมัน ดีไปคนละอย่าง บางทีคนที่อยากได้แบบครบวงจร กิจกรรม ที่พัก และค่าอาหาร จำกัดงบประมาณไปเลยตั้งแต่ยังไม่ได้เที่ยวก็ทำให้เตรียมตังค์ในกระเป๋าได้ระดับหนึ่ง ดีกว่า ไปชิลด์ชื่นชมธรรมชาติสุดท้ายตังค์ไม่มีเพราะที่พักดันแพง !!!! แต่จากการสำรวจระดับเบื้องต้น พบว่า ถ้าคุณมีตังค์ในกระเป๋าสักสองพันบาท ก็สามารถชิลด์เดี่ยว....เที่ยวสังขละได้แล้ว งบประมาณคร่าวๆ ก็ไม่น่าจะเกินสามพันบาท ซึ่งที่พักมีตั้งแต่ กางเต็นท์ นอนแพแล้วก็รีสอร์ท

“ นอนรีสอร์ทไฮโซ ถ้าอยากโลโซไปนอนเต็นท์ ”


ก็ไม่ได้หมายความตามที่พูดซะทีเดียว คือการนอนเต็นท์ได้นี่ คงต้องเป็นคนอึดพอดู ไหนจะต้องกางเอง เก็บเอง แล้วเกิดฝนตกล่ะ ฤดูฝนก็กำลังมาซะอย่างนี้ ที่สำคัญ กางเต็นท์ไม่เป็นด้วยล่ะ แม้บริการเสริมของบางเจ้าจะมีการเก็บให้ กางให้ก็เถอะ แต่คงรู้สึกไม่เต็มที่กับการนอนประเภทนั้นสักหน่อย (เหมือนอยากทำกับข้าวกินเอง แต่ดันใช้คนอร์ในการปรุงรส)

เพราะชีวิตคือการเดินทาง

ตั้งใจจะเดินทางสู่สังขละ สักครั้งด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่จากการดูแพคเกจกิจกรรม ห้องพัก และการเดินทาง ส่วนใหญ่ร้อยละแปดสิบ จะคิดราคาเป็นคู่ เหตุผลหลักที่สำคัญในการเที่ยวครั้งนี้คือ การเขียนเรื่องสั้นสักเรื่องให้มันจบเป็นเรื่องเป็นราวสักที ถ้าได้เดินชิลด์บนสะพานมอญ ตอนค่ำไปเวียนเทียน ตื่นเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้น สายๆก็ไปดูวัดใต้น้ำ เยี่ยมชมหมู่บ้าน ตลาดและบรรยากาศสองข้างทาง หาแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัว......... ว่าแต่.......ไปคนเดียว แล้วใครจะถ่ายรูปตรูฟร่ะ !!!??...........ฉันคิด

เบิร์ท : “ เซ็งว่ะ ว่าจะไปเที่ยวไม่ได้ไปสักที ”
ฉัน : “ อ้าว แล้วทริปรถไฟอ่ะ ”
เบิร์ท : “ ก็นั่นแหละ ยังไม่ได้ไป เบลอไปก่อน แล้วทริปที่บอกจะไปสังขละนี่เมื่อไรอ่ะ ”
ฉัน : “ 17-18-19 แต่จองห้องไว้แค่คืนเดียว อีกคืนไปตายเอาดาบหน้า ”
เบิร์ท : “ ลุยเดี่ยวป่าววะ ”
ฉัน : “ คงงั้น อยากดูที่พักมั้ยล่ะ เป็นรีสอร์ทติดริมแม่น้ำตรงหน้าสะพานมอญพอดี จะให้ไปนอนเต็นท์คนเดียวคงไม่ไหวอันตรายไป พนักงานเค้าบอกว่า ห้องที่จองอ่ะ เพิ่งสร้างใหม่ ทำเลสวยสุดในรีสอร์ทเลยนะ”

จากนั้นก็กระตุ้นต่อมเที่ยวให้เพื่อน โดยการส่งภาพรีสอร์ทกับเว็บถ่ายภาพที่ได้จากเพื่อนอีกคนให้ดูเป็นการสร้างอารมณ์ในขั้นต้น..........ปรากฎว่าได้ผลดีเกินคาด………….

เบิร์ท : “ฟังแล้วรู้สึกอยากไปมั่งว่ะ ฮ่า ฮ่าๆ ถ้ายังไม่ได้ไปทริปรถไฟ ไปทริปสังขละด้วยได้ป่าววะ”
ฉัน : “ ยังไงก็ได้อยู่แล้ว สองหัวดีกว่าหัวเดียว”
เบิร์ท : “ เริ่มอยากไปหลังจากดูรูปนี่แหละ”
ฉัน : “ เออ รูปแมร่งสวยเวอร์ อยากไปถ่ายมั่ง ดูดิ๊ว่าจะสวยแบบนั้นมั้ย”
เบิร์ท : “ ฮ่า ฮ่าๆ”

การเดินทางออกสู่โลกที่แตกต่างจากเดิม จุดหมายเดียวกัน แต่หาใช่จุดประสงค์เดียวกันไม่

17.07.2008

นับเป็นการตื่นเช้าที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา กับเวลาตีห้าสี่สิบห้า พร้อมออกเดินทางมุ่งหน้าสู่หมอชิต สุดท้ายก็มาลงตัวกับผู้ร่วมเดินทางทั้งสามคน อันมีตัวฉัน อาร์ทและเบิร์ท แม้จะดูฉุกละหุกในช่วงแรกบวกกับสมาชิกที่พึ่งจะลงตัวได้ในไม่กี่วันก่อนออกเดินทาง ย้อนกลับไปหลังจากนั้นไม่นานมากนัก เกือบหลงตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทางซะแล้ว ก็ดันอ่านตารางเวลาเดินรถคำว่า “ สระบุรีไปเป็นสังขละบุรีได้นี่ ”

แหล่งข้อมูลอ้างอิงทั้งหลายแจ้งว่าการเดินทางจากกรุงเทพไปสังขละนั้นใช้เวลากว่า หกชั่วโมง ซึ่งหากนั่งด้วยรถไฟก็จะต้องใช้เวลามากกว่านั้น ในการต่อรถจากสถานีน้ำตกไปยังที่หมาย (เอาเป็นว่าตกอันดับไป แรงบันดาลใจจากนั่งรถไฟไปตู้เย็นยังส่งพลังกระตุ้นไม่แรงพอ) เช่นเดียวกันกับการนั่งรถทัวร์ที่ขึ้นจากสายใต้ใหม่ไปกาญจนบุรี ยังคงต้องนั่งรถต่อไปสังขละ เมื่อเห็นพ้องต้องกันว่าควรไปขึ้นรถที่สถานีหมอชิต โดยไม่ต้องเสียเวลาต่อรถให้ยุ่งยากซึ่งตรงไปด่านเจดีย์สามองค์เลย

ตู๊ด......ตู๊ดดดด....ตู๊ดดด
(เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ขณะที่นั่งรถแท็กซี่ไปหมอชิตด้วยอาการง่วงเต็มที่)

เบิร์ท : “ เฮ้ยยย รถทัวร์ที่จะไปด่านเจดีย์สามองค์อ่ะ เต็มหมดเลยว่ะ”
ฉัน : “อ้าวเฮ้ย เต็มได้ไงอ่ะ นี่รอบหกโมงเช้าเลยนะ”
เบิร์ท : “ เอาไงอ่ะ”
ฉัน : “...............”

ขณะที่นั่งแท็กซี่อยู่นั้น พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำ และรอบที่พวกเรากำลังจะไปก็เป็นรอบแรกสุด.......หกโมงเช้า !!!.............แต่พอรถลงทางด่วน เลี้ยวเข้าหมอชิตเท่านั้นแหละ โอวววว....แม่ !!! รถแท็กซี่ รถบัส รถทัวร์ ติดแน่นขนัดเต็มท้องถนน นึกว่าจะมีเราคนเดียวซะอีกที่แหกตาตื่นได้เช้าขนาดนี้

ตู๊ด......ตู๊ดดดด....ตู๊ดดด
(เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง)

เบิร์ท : “ มันมีรถทัวร์ไปกาญจน์อ่ะ เอาป่าว แล้วค่อยต่อรถไปสังขละที่กาญจน์อีกที”
ฉัน : “ เหรอ รอบอื่นเต็มหมดเลยใช่ป่ะล่ะ เออๆๆ งั้นเอาไปกาญจน์แล้วกัน มีรอบกี่โมง”
เบิร์ท : “หกโมง”

ฉันวางหูโทรศัพท์แบบยังไม่ทันตั้งตัวดี นาฬิกาบอกเวลาอีกสิบนาที หกโมงเช้า............เวรกรรม........จะทันรอบรถทัวร์คันนี้มั้ยเนี่ย จึงตัดสินใจกระโดดลงจากรถแท็กซี่พร้อมกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังชานชาลาที่ 114

สามที่สุดท้าย ก่อนรถออกได้เพียงไม่กี่อึดใจ !!!

สภาพรถทัวร์ ป.2 ที่ดูทรุดโทรมเต็มที ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นขยะ อาหาร และกลิ่นกาย แม้รถที่นั่งจะเป็นแบบปรับอากาศหรือที่เรียกแบบชาวบ้านว่ามีแอร์ ก็ไม่ได้ช่วยให้สภาพคล่องทางจมูกดีขึ้น กลับอยากทุบกระจกให้แตกแล้วเอาอากาศจากภายนอกเข้ามาภายในมากกว่า รถทัวร์ปรับอากาศสี่สิบเจ็ดที่นั่ง ซึ่งมีผู้คนทยอยกันขึ้นมาตลอดทาง ทำตัวเสมือนรถเมล์มากกว่ารถทัวร์...............ครึ่งชั่วโมงผ่านไป...............สิบหกเลนท้องถนนที่ดูคุ้นตา.......บางใหญ่....... โอววววว จะจอดรับคนอีกนานมั้ยฮะ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบหกสิบคนเบียดเสียดแล้ว

สามชั่วโมงผ่านไป.........
แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่น้ำตก
ถึงสถานีขนส่งที่อำเภอเมืองกาญจน์ (ตามเวลาคำนวณ น่าจะใช้เวลาแค่สองชั่วโมง) ทำให้อดสยองถึงการต่อรถจากกาญจน์ไปสังขละไม่ได้ จากสี่ชั่วโมงจะไม่เป็นห้าหรือหกชั่วโมงเลยรึ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังไม่หมดเท่านั้น มันแค่เริ่มต้น หึ หึ

เก้านาฬิกา ที่สถานี ณ เมืองกาญจน์กับตารางการเดินรถ
รถทัวร์ปรับอากาศ มีรอบ เที่ยงครึ่ง
รถตู้ปรับอากาศ มีรอบ บ่ายโมง
ไม่มีทางเลือกอื่น........นอกจาก...........รถฉิ่งฉับทัวร์ !!!!!!!!!
จำนวนคนที่แน่นขนัดตั้งแต่ยังไม่ออกรถ สามทหารเสือจำเป็นต้องแยกที่นั่ง อาศัยเอาตัวให้รอดแบบตัวใครตัวมันไปก่อน สภาพรถที่ไม่น่าจะไต่ขึ้นเขาได้และทุกครั้งที่มองออกนอกหน้าต่างมีความรู้สึกว่า เหมือนรถมันวิ่งถอยหลังเพราะขนาบด้านซ้าย-ขวามีรถแซงไปด้วยความเร็วสูงกว่า กฎแห่งการอาศัยพึ่งพากัน ยังใช้ได้ดีสำหรับที่นี่ “ทางเดียวกัน ไปด้วยกัน” เฉกเช่นยามเช้า

แต๊ด....แต๊ด....แต๊ด....กึก......แกรกกกกกกกกก
(อาการสะอึกน้ำมันและช่วงเวลาเปลี่ยนเกียร์มีให้ได้ยินเป็นระยะ)
เด็ก ผู้หญิง และคนชรา ทยอยขึ้นตามป้ายข้างทางตลอดสาย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ยายแก่ๆ แกก้าวขึ้นรถอย่างงุ่มง่าม ฉันซึ่งนั่งอยู่ริมประตูก็ทำท่าเหมือนจะลุกสละที่นั่งให้ แต่เด็กท้ายรถบอกว่าไม่เป็นไร นั่งไปเหอะ พร้อมจัดแจงที่นั่งให้ยายแก ทันที ( แอบเหน็บแนมว่า ที่กำลังจะไปกันน่ะ มันไกลนะโว้ยยยย) ฉันหยิบแผนที่ในกระเป๋าเปิดกางออก อยากจะรู้พิกัดของตัวเองเต็มที่ เด็กท้ายรถเห็นก็บอกว่ายังอีกไกลไม่ต้องไปดูมันหรอก !!! อ่านะ ท่าจะจริง

อากาศที่เหลืออยู่ เริ่มน้อยเต็มที พยายามสร้างอารมณ์ด้วยการมองนอกหน้าต่างให้มันไกลๆเข้าไว้ ธรรมชาติ ป่าเขา และเนาไพร แอบเหลือบไปเห็นป้ายที่เขียนไว้ว่า ชุมชนน้ำตก รู้สึกขอบคุณเพื่อนร่วมทางอีกครั้ง ที่มันไม่นั่งรถไฟกัน(ไม่งั้นคงตาย) เปลี่ยนบรรยากาศให้คึกคักขึ้นอีกครั้งเพราะระหว่างทางมีพ่อค้าแม่ขาย เดินแบกข้าวเหนียวหมูปิ้ง ลูกชิ้นทอด ไส้กรอกทอด โอเลี้ยง กาแฟและโอวัลตินขึ้นมาขายบนรถ แม้ไม่ได้นั่งรถไฟ บรรยากาศแบบนี้ก็ถือว่าใกล้เคียง และการเดินทางก็เนิบนาบคือกัน

ผ่านอำเภอทองผาภูมิ ดูเหมือนคนจะเริ่มบางตาลง เด็กท้ายรถนับจำนวนคนที่จะไปสังขละอีกครั้งได้ทั้งหมดสิบห้าคน หลังจากปรึกษาหารือกับคนขับ สรุปก็คือให้ที่เหลือไปต่อรถอีกคันที่จอดรออยู่ข้างทาง อารมณ์ว่ารวบรวมคนที่จะไปสังขละเท่านั้น คราวนี้ไม่สามารถเลือกที่นั่งได้แล้ว เพราะที่นั่งเต็มหมด จนต้องระเห็ดตัวเองกับเพื่อนไปนั่งหน้ารถ ด้านข้างคนขับ ซึ่งตรงพอดีกับประตูที่เปิดอ้าออกอยู่ตลอดเวลา


เลี้ยวขวาเข้าอำเภอสังขละ และเริ่มนับถอยหลัง

74 กิโลเมตร
“การขับรถไปสังขละบุรี ผู้ขับต้องมีความชำนาญในการขับรถพอสมควร เนื่องจากเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันโดยเฉพาะ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ” ข้อความเหล่านี้มีให้เห็นแทบทุกเว็บไซต์ที่เข้าไปค้นหาข้อมูล เริ่มสงสัยในใจว่าจะจริงอย่างนั้นหรือเปล่า

60 กิโลเมตร
ป้ายเตือนสองข้างทางเริ่มปักถี่มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้นว่า โค้งอันตราย โปรดใช้เกียร์ 1 เช็คเกียร์ คลัทช์ เบรค ก่อนขึ้นเขา ทางลาดชันโปรดระมัดระวังเป็นพิเศษ ห้ามแซง ขับช้าๆ และป้ายอีก 500 เมตรโค้งอันตรายและเริ่มนับถอยหลังเป็น ห้า สี่ สาม สอง และหนึ่งร้อยเมตรสุดท้าย

40 กิโลเมตร
อากาศด้านนอกเริ่มเย็นลง คนโดยสารบางตาลงเรื่อยๆ สามทหารเสือได้นั่งด้วยกันแบบครบทีม หลังจากอ่านป้ายเตือนข้างทางจนเพลินตา ก็มาสะดุดกับป้ายสีขาวถูกแต้มด้วยอักษรสีแดงขนาดใหญ่ ทำเอาทั้งสามต้องมองหน้ากัน

“ ถ้าไม่อยากตาย ห้ามเปลี่ยนเกียร์ขณะขึ้นเขา และใช้เกียร์ 1 เท่านั้น !! ”
ทำอะไรไม่ถูก นอกจากนั่งมองตากันปริบๆ

30 กิโลเมตร
มองนาฬิกาอีกครั้ง........บ่ายสองโมง.........เริ่มรู้สึกเมื่อยขาและอยากลงเดิน มีความรู้สึกว่าก้นตัวเองเริ่มละลายหายเข้าไปกับเบาะที่นั่งแล้ว แอบตื่นเต้นขึ้นมาเป็นระยะ เมื่อมองผ่านม่านไม้ข้างทาง เห็นทะเลสาบอยู่ลิบๆกับอากาศข้างนอกที่เย็นสดชื่นมาปะทะหน้าไม่ขาดสาย เสมือนมีคนเอาน้ำเย็นมาโปรยอยู่นอกหน้าต่าง ละอองฝนขนาดเล็ก แตกฟองปลิวลอยมาตามลม แต่เพียงไม่กี่อึดใจ..............

“โครมมมมม...ม....ซู่........ซ่า...........”
ฝนห่าใหญ่เทลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาปิดหน้าต่างกันแทบไม่ทัน

ฉัน : “โหย อารายฟร่ะ เสียอารมณ์เลยอ่ะ”
เบิร์ท : “เฮ้ยฝนตกแบบนี้ จะเที่ยวสนุกเหรอ”
ฉัน : “อ้าว ก็จะมาดูเมืองบาดาลนี่นา ก็ต้องมาตอนฝนตกนี่แหละ วัดจะได้อยู่ใต้น้ำไง เกิดมาหน้าร้อนกะหน้าหนาว มันก็ไม่แตกต่างจากที่อื่นสิ”
เบิร์ท : “แล้วเค้าแนะนำกันให้มาหน้าไหนล่ะ”
ฉัน : “หน้าหนาวว่ะ”
เบิร์ท : “..........”
ฉัน : “..........”

หลังจากที่ฝนเทกระหน่ำลงมาแบบไม่หยุดหย่อน การนับถอยหลังสู่สังขละก็หมดลง เนื่องจากมีไอน้ำมาเกาะด้านนอกหน้าต่างและหมอกก็หนามากขึ้น จนเด็กท้ายรถต้องคอยเอาผ้ามาเช็ดกระจกให้คนขับอยู่ตลอดเวลา เส้นทางการเดินรถก็ดูชันและลาดเอียงมากขึ้นตามลำดับ แอบลุ้นเป็นระยะ ช่วงคดเคี้ยวเลี้ยวลดไล่ไปตามไหล่เขา ถนนลื่นอย่างนี้แล้วเบรคล่ะ..............อดเป็นห่วงไม่ได้..............เพราะสภาพรถมันทำให้จินตนาการไปแบบนั้นจริงๆ ..............จุดพีคสุด............ของวิวข้างทาง คงเป็นจังหวะที่รถกำลังไต่เขาได้ความสูงระดับหนึ่ง เลี้ยวหักศอก ขณะที่ฝนหยุดตกพอดี กำแพงไม้ป่าเปิดอ้าออกสู่ท้องฟ้าโล่งกว้าง เบื้องล่างเป็นทะเลสาบสีเขียว มีบ้านเรือนปลูกเป็นกระท่อมบนแพอย่างเรียบง่าย กระจ่ายตัวตามลุ่มน้ำต่างๆ โอวววววว ฟ้าหลังฝนเป็นแบบนี้นี่เอง ขนลุกซู่แบบบอกไม่ถูก ไม่ใช่เพราะอากาศหนาวหรือแรงลม แต่เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นสวยจริงๆ

xx กิโลเมตร
เหมือนตัวเองถูกสะกดจิตอย่างไรอย่างนั้น........ไม่.........แม้แต่จะเหลียวมองหลักกิโลเมตรที่อยู่ข้างทาง แอบเสียดายที่ไม่ทันจะเอากล้องขึ้นมาเก็บบรรยากาศเหล่านั้นไว้ได้ ขากลับต้องถ่ายให้ได้ล่ะกัน........แอบสัญญากับตัวเองเงียบๆ

รถโดยสารที่นั่งมา ยังคงเนิบนาบสู่เส้นทางลาดชัน

“ทางลงเขายาวหนึ่งกิโลเมตร”
ป้ายสีเหลืองตั้งเด่นเป็นสง่าตัดกับอักษรสีดำที่อยู่ข้างทาง ทำเอาทั้งสามมองตากันอีกรอบ เพราะทางที่ผ่านมาความยาวมันก็แค่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น สังเกตบนพื้นถนนที่มีการหล่อปูนขนาดใหญ่กั้นกลางระหว่างเลนทั้งสองที่สวนทางกัน เพื่อบอกเป็นนัยว่า นี่คือของจริง !!! ที่ผ่านมาเค้าเรียกน้ำจิ้มเท่านั้นแหละ มองไปตามทางเบื้องล่าง ถนนคดเคี้ยวยาวสุดลูกหูลูกตา นึกถึงตำเตือนที่เห็นในเว็บไซต์ทันที

สามโมง สามคน สามประสบ

เก้าชั่วโมงกับการเดินทางมาถึงที่นี่.........สังขละ.........ซึ่งเวลาที่ควรจะเป็นแค่หกชั่วโมงเท่านั้น เส้นทางที่ผ่านมากับแพริมน้ำทำเอาประทับใจกันไปตามๆกัน คืนนี้เลยขอชิลด์ด้วยการนอนแพ สอบถามราคาแพส่วนใหญ่ จะอยู่ที่หลังละหนึ่งพันบาท ไม่รวมลากแพออกนอกริมฝั่งถ้าหากต้องการความเป็นส่วนตัว แต่พวกเราก็เลือกที่จะอยู่ริมฝั่งเพราะคืนนี้อยากจะเดินเล่นแถวสะพานไม้ และสัมผัสวิถีชีวิตชาวบ้านด้วยการไปเวียนเทียนที่วัด สร้างบรรยากาศการมาในช่วงเข้าพรรษาพอดี แค่คิดก็อยากให้พระอาทิตย์ตกดินแล้วล่ะ

หกโมงเย็น.........
ที่นี่เงียบสงบ ปราศจากเสียงรบกวนใดๆนอกจากเสียงเครื่องยนต์ของเรือ แม้แต่เพลงชาติก็ไม่เห็นจะได้ยินสักนิด รอเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ลำแสงสีทองอำไพ สาดส่องไปตามกิ่งก้านไม้ไผ่ ที่ประสานเกี่ยวคล้องผูกมัด เป็นโครงสร้างสะพานไม้ขนาดยาวแลดูสวยงาม.........แต่ ไม่มี.......พระอาทิตย์ตกดินหายไปไหน !! พอฟ้าเริ่มมืดครึ้มพระอาทิตย์ก็ซ่อนตัวอยู่ในเมฆทันที.........พระอาทิตย์ที่นี่ขี้อายจังนะ.........เลยไม่มีภาพของพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ามาฝากกัน

สะพานมอญ อยู่ในตัวอำเภอสังขละบุรี เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยมีความยาวถึง 850 เมตร สร้างข้ามลำน้ำซองกาเลียสำหรับให้ประชาชนฝั่งตัวอำเภอสังขละบุรีและฝั่งหมู่บ้านชาวมอญเดินข้ามสัญจรไปมา บริเวณสะพานแห่งนี้เป็นจุดชมวิวทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณ์ที่สวยงามสามารถมองเห็นลำห้วยสายต่างๆ คือ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตี ที่ไหลมารวมกันเป็นสามประสบ

สามทุ่ม..................
จากวัดศรีสุวรรณารามเดินกลับที่พักด้วยอาการผิดหวังเล็กน้อย จากการสอบถามคนในพื้นที่บอกว่า เค้าจะไปรับศีลแปดกันที่วัดฝั่งนู้นมากกว่า วัดที่นี่เลยเงียบเหงาจนดูน่ากลัว เพราะตลอดสองข้างทาง แทบไม่มีไฟส่องทางเดินเลยทำให้มืดสนิท ถ้ามาคนเดียวคงไม่กล้าเดินมาไกลขนาดนี้.....ฉันคิด

เหนื่อย.............เพลีย.............หมดแรง.............และอยากนอน
............................
.......................
..................

ตึ๊ง......ตึง......ตึ่ง...... ตะลึง......ตึง......ตึง......
เสียงเพลงจากแพข้างๆทำเอาเสียอารมณ์ ขนาบด้านซ้าย-ขวาล้วนมาเป็นหมู่คณะแบบสิบคนขึ้นไป บรรยากาศที่เงียบสงบในช่วงเย็นหมดสิ้น อารมณ์เขียนหนังสือหายไปตั้งแต่เพลงลูกทุ่งไม่คุ้นหู ลอยมาปะทะโสตประสาททั้งหมด ไม่มีสุนทรีย์คำกวีในการเขียนหนังสืออีกต่อไป........นอน..........ในใจคิดได้แค่นั้น หลังจากลดผ้าใบทั้งสองด้านลงเป็นนัยให้แพข้างเคียงรู้ว่า.........รำคาญ !!!!..........ก็เหมือนจะได้ผล เพราะเริ่มเงียบลงทันที ฮ่า ฮ่าๆ

18.07.2008


เช้านี้ท้องฟ้าเหมือนเดิม แบบเดิม แต่สว่างขึ้น พระอาทิตย์หายไปไหนอีกแล้ว อดดูพระอาทิตย์ตกดินและพระอาทิตย์ขึ้น สงสัยคงเป็นบรรยากาศเฉพาะที่นี่แบบนี้ ตอนเช้าหมอกลงหนา เห็นภูเขาที่อยู่ไกลออกไปเป็นลำดับทับซ้อนกัน แม้จะพยายามตื่นก่อนหกโมงเช้า เพื่อมาดูท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนสีจากช่วงเวลากลางคืนมาเป็นกลางวัน แต่ความรู้สึกก็ยังคงไม่แตกต่าง ท้องฟ้าขมุกขมัวมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน อารมณ์เปรียบได้กับภาพถ่ายที่ซ้อนทับกันสองชั้น แล้วปล่อยเบลออีกภาพให้เห็นเพียงลางเลือน

แพขนาดเล็กที่จุคนได้มากกว่าที่ตาเห็น ประทับใจชานนอกระเบียงกับห้องน้ำที่พื้นตีช่องว่างห่างประมาณหนึ่งเซนติเมตร สามารถมองเห็นพื้นน้ำด้านล่าง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนอาบน้ำและกำลังสระผม ปลาไม่ระบุสัญชาติตัวหนึ่งว่ายน้ำลอดใต้หว่างขาไป แอบตกใจเล็กน้อย อย่างกับห้องน้ำที่มัลดิฟก็ไม่ปาน นี่แหละข้อดีของการนอนแพที่ต่างจากที่พักแบบรีสอร์ท การเข้าถึงธรรมชาติอย่างแท้จริง

ข้ามฟากมากินอาหารเช้าฝั่งมอญ โจ๊กหมูสับ ปาท่องโก๋ และโอวัลติน อาหารเรียบง่ายหาซื้อได้ในเมืองกรุง แต่บรรยากาศแบบนี้คงหาซื้อไม่ได้ ยายแก่นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อสีขาวปักลายลูกไม้ มีผ้าสไบเฉียงคาดอยู่บนอกสีเดียวกันกับผ้าที่นุ่ง หน้าตายิ้มแย้ม เดินกันมาเป็นแถว คงกลับจากวัดที่เมื่อคืนไปถือศีลกันมา แม้จะตื่นเช้ากว่าที่เคยแต่กลับไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด

อีกฟากหนึ่งในโลกของความเป็นจริง เพื่อนร่วมงานคงกำลังนั่งทำงานกันอย่างขมักเขม้น เสียงพิมพ์งานต๊อก ต๊อก แต๊ก แต๊ก คงเป็นเสียงภายในออฟฟิศที่ฟังดูคุ้นหู............แต่ที่นี่.............มีเสียงจิ้งหรีดเรไรและแมลงนานาพันธุ์ ต่างพากันส่งเสียงเซ็งแซ่...........ทว่าไม่รำคาญแต่กลับรู้สึกดี อารมณ์กวีศิลป์บังเกิดขึ้นอีกครั้ง

น้ำค้างจากยอดหญ้า..........ยามเช้า
เมฆไหลชอนไปตาม.......ไหล่เขา
ละอองฝนปะทะต้องลม............แผ่วเบา
มอมเมา..........ม่านหมอกแห่งท้องธารา

เที่ยงกว่าแล้ว โปรแกรมต่อไปคือ ล่องเรือไปดูวัดใต้น้ำ
เมืองบาดาล ในอดีตเป็นวัดวังก์วิเวการามเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะและชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและมอญได้ร่วมก้นสร้างขึ้น เมื่อปี 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลมทำให้น้ำเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดนี้ด้วย จึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมได้จมอยู่ใต้น้ำมานานนับยี่สิบปี กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนอินไทยแลนด์ ในชื่อว่าเมืองบาดาล

ราคาเรือหางยาว เหมาลำละสามร้อยบาทต่อหนึ่งชั่วโมง แล่นทะยานแหวกสายน้ำออกไปไกล หวังสัมผัสเมืองบาดาลเต็มที่............แต่ปรากฏว่าน้ำแห้ง !!!!..........วัดที่อยู่ใต้น้ำโผล่พ้นขึ้นมาจนสามารถลงเดินและถ่ายภาพกับสถาปัตยกรรมของวัดเก่าได้ อันที่จริงก็ทำใจไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนมาถึง เพราะระดับน้ำที่ลดลงจนแห้งขอด มองเห็นโครงสร้างสะพานไม้อย่างชัดเจนทำให้เตรียมใจตั้งแต่แรกแล้วว่า อาจไม่มีเมืองบาดาล ก็จริงดังคาด แต่ถึงกระนั้น การได้ลงมาเดินดูรายละเอียดของซากวัดเก่าก็ถือว่าเป็นข้อดี ดีกว่ามองจากภายนอกอาคาร แล้วนั่งเรือวนกลับเข้าฝั่งไป ไม่ไกลกันนั้นสามารถมองเห็นยอดเจดีย์สีทองอร่ามโผล่พ้นขอบต้นไม้สีเขียว ตัดกับสีท้องฟ้าสดแลเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล ทำให้อดคิดถึงวัดภูเขาทองไม่ได้ แม้จะอยู่กันคนละที่ แต่ความน่าเลื่อมใสศรัทธาไม่ต่างกัน

วัดวังก์วิเวการาม อยู่เลยจากตัวอำเภอสังขละบุรีไปประมาณหกกิโลเมตร เป็นวัดจำพรรษาของ “หลวงพ่ออุตตมะ” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งชาวกระเหรี่ยงและพม่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ภายในวิหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อขาว จากวัดวังก์วิเวการามแยกไปอีกหนึ่ง กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของเจดีย์แบบพุทธคยามีลักษณะฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นกระดูกนิ้วหัวแม่มือขวา ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร บริเวณใกล้เจดีย์มีร้านจำหน่ายสินค้าจากพม่าหลายร้านจำพวกผ้า แป้งพม่า เครื่องไม้


เดิน เดินและเดิน

เริ่มต้นการเดินตั้งแต่มาถึงอำเภอสังขละจากท่ารถบขส.เดินลงมายังสะพานมอญด้วยระยะทางกว่าสองกิโลเมตร จากนั้นก็เดินเที่ยวข้ามฝั่งมายังวัดวังก์วิเวการาม แม้เพื่อนทั้งสองจะเคยเรียนร.ด และฉันเองก็พวกบ้าพลังก็ทำเอาเหงื่อตกกันไปตามๆกันได้ “เหนื่อยกาย แต่สบายใจ” สนุกกับการเดินที่เปรียบเสมือนมาเข้าค่ายทหาร พักเหนื่อยด้วยการหยุดถ่ายภาพเป็นระยะ และเดินซึมซับบรรยากาศรอบข้างด้วยระยะทางไม่ต่ำกว่าสิบกิโล!!

กลับเข้าที่พักอีกครั้งและทำการย้ายมายังรีสอร์ทด้านบนที่จองไว้ตั้งแต่ต้นเดือน หวังจะได้นอนไฮโซให้สบายหายเมื่อย แม้นอกระเบียงจะไม่ได้หันหน้าเข้าหาสะพานไม้ แต่สะพานปูนที่ขนานกันนั้นก็จัดว่าเป็นทัศนียภาพที่สวยงามเช่นกัน

ยามเย็นที่สามประสบ.........
ด้วยอุปนิสัยใจคอที่ไม่ชอบหยุดนิ่ง นักกิจกรรมตัวยงอย่างอาร์ทจะให้อยู่เฉยๆเก็บบรรยากาศอย่างเดียวคงทำไม่ได้ เลยหาเช่ามอ’ไซค์รายวัน วันละสองร้อยห้าสิบบาท เพื่อทำการสำรวจบริเวณรอบสังขละ รีสอร์ทที่พักข้างเคียง และราคาแพคเกจกิจกรรมเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลเบื้องต้น ประมาณว่านอนที่เดียวแต่เที่ยวมันทุกรีสอร์ทเลย!!

อาหารมื้อเย็นกินกันแบบไม่จริงจังเท่าไรนัก เนื่องจากแค่อยากเอาชิลด์กับสถานที่ อย่างห้วงซองกาเรีย แกงอ่อมกับน้ำตกหมู จึงเป็นตัวเลือกอันดับแรกในมื้ออาหารนี้ หลังจากขี่มอ’ไซค์ลุยตากสายฝนมานาน เพื่อมาฟังเสียงน้ำตกไหลแลกระแสน้ำเชี่ยวกระทบโขดหิน กระท่อมไม้ไผ่ที่มุงด้วยใบจาก โรแมนติคขนานแท้ท่ามกลางธรรมชาติ มีเพียงสองเรา.............แอบสงสัย......นักท่องเที่ยวหายไปไหนกันหมด ชื่นชมธรรมชาติได้ไม่นานก็ต้องเตือนตัวเองอีกครั้ง ถ้ามืดกว่านี้จะกลับลำบาก เพราะสองข้างทางไม่มีเสาไฟ อีกทั้งถนนขามาก็มีหลุมมีบ่อเป็นระยะบวกกับทางลาดชัน มือใหม่หัดเที่ยวแบบนี้ อันตรายจริงๆ...........ฉันคิด

กลับมาถึงที่พัก เบิร์ทยังคงหาแรงบันดาลใจในการทำงานต่อไปด้วยการขอแยกชิลด์เดียว เกี่ยวประสบการณ์ข้างทางเพียงลำพัง.....แน่นอน......ฉันกับอาร์ทก็กำลังมองหามื้ออาหารใหญ่ที่ไหนสักแห่งแบบดีๆอีกมื้อ แม้เราสองคนจะเข้ากันไม่ได้ในบางเรื่อง แต่เรื่องปากเรื่องท้องแทบจะเรียกได้ว่า คอกินขนานแท้ ยิ่งมาต่างถิ่นแบบนี้ซะด้วยตะลุยกินกันมันส์อย่างเดียว หลังจากอาหารในจานเริ่มน้อยลง บทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นโดยอาร์ท

“รู้สึกดีขึ้นมากนะเนี่ย หลังจากมีมอ’ไซค์ขี่”
“ยังไง” ฉันถามด้วยความสงสัย
“ก็เราชอบอะไรที่มันควบคุมได้ คอนโทรลได้ อย่างมาที่นี่ในตอนแรกน่ะ ทำอะไรไม่ได้เลย จะไปไหนก็ต้องเดิน จะทำอะไรก็ดูติดขัด อย่างมีมอ’ไซค์หรือรถ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ”

“อ่อ แล้วอยู่เฉยๆแบบเก็บบรรยากาศอย่างเดียวน่ะ ทำไม่เป็นเหรอ”
“เราเป็นพวกอยู่เฉยๆไม่ได้น่ะ เหมือนมันต้องมีอะไรทำตลอดเวลา”
“แล้วไม่ลองอยู่นิ่งๆพักสมองบ้างล่ะ” ฉันเสนอความเห็น
“ไม่รู้สิ เวลาอยู่ว่างๆ แล้วมันชอบคิดนู้น คิดนี่ คิดไปเรื่อย อย่างมาพักผ่อนที่นี่ก็ต้องมีอะไรทำบ้าง เหมือนเมื่อเช้าที่นั่งเรือ เดินดูวัด เที่ยวสะพาน แบบนั้น”

“งั้นเธอตีความหมายของการพักผ่อนยังไงนะ” ฉันพูดเสริมว่า
“เราว่าความหมายของการพักผ่อน คือการที่สมองเรารู้สึกปลอดโปร่งไม่ใช่ขณะหลับหากแต่เป็นตอนตื่น ทำใจให้สบาย ไม่เครียด พยายามหยุดความคิดเรื่องงานหรือภาระที่สะสมมาให้หมด ไม่ต้องไปคิดถึงสิ่งนู้น สิ่งนี้ให้มันวุ่นวาย แม้กระทั่งใจที่สับสน พยายามคิดให้น้อยลงแล้วเสพธรรมชาติให้มันมากขึ้น”

“แล้วเธอทำไมอยากมาที่นี่ล่ะ” อาร์ทถามกลับขึ้นบ้าง
“ก็แค่อยากเที่ยว อันที่จริงจะที่ไหนก็ได้”
“......................”

การเที่ยวในมุมมองของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน บางคนก็เน้นความสบาย บางคนก็อยากผจญภัย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคงเป็นเรื่องของความประทับใจและประสบการณ์ที่แต่ละคนพึงจะได้ อย่างเช่นตอนนี้ฉันอยากจะเที่ยวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งเป็นแหล่งธรรมชาติด้วยแล้ว เพราะเมื่อมันเจริญไปมากกว่าที่ควรจะเป็น มุมมองทัศนียภาพก็ย่อมเปลี่ยนไป ความงามจะยังคงงาม ณ จุดใดจุดหนึ่งของช่วงเวลานั้น...........อืม........ฉันเห็นด้วย ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานเมื่อโตขึ้นก็ย่อมมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เฉกเช่นเดียวกันกับความรู้สึกผูกพันและอยากอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ตอนนี้มีกำลังทรัพย์พอสำหรับลุยคนเดียวและกำลังกายที่พร้อมเผชิญสู่โลกกว้างแบบไม่ต้องห่วงใคร ก็จงทำมันให้สนุกและสนุกกับมันอย่างเต็มที่ หากใจหวังจะพักจากการทำงาน ก็ควรจะปล่อยวางเสีย เพราะถ้าใจไม่นิ่ง ปัญหาทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะตามไปทุกทีนั่นแหละ แม้จะไปเที่ยวไกลถึงเชียงใหม่ก็เถอะ ต้องถือคติที่ว่า “รุ่นใหญ่ ใจต้องนิ่ง”

อาร์ทถามขึ้นอีกครั้ง “ไม่ชอบเที่ยวแบบสบายๆเหรอ เก็บตังค์เมื่อพร้อมแล้วค่อยออกเดินทาง”
“พ่อเราเคยบอกว่า การเที่ยวน่ะ มันต้องสมบุกสมบันกันบ้าง ถ้าอยากสบายมากนัก ก็นอนเปิดแอร์อยู่กับบ้านดีกว่า ที่บ้านเราน่ะเค้าชอบไปนอนกางเต็นท์แคมป์ปิ้งกัน เราก็เลยได้ข้อนี้มา”
“เราชอบเที่ยวทะเล มันดูโปร่งโล่ง สบายและไม่อึดอัด เท่ากับเที่ยวป่า”
“อืม”
“เธอล่ะ ชอบเที่ยวแบบไหน”
ฉันคิดอยู่พักนึง ก่อนตอบ “ชอบทุกแบบที่เป็นการเที่ยว แค่ขึ้นชื่อว่าเที่ยวก็ไปได้ทุกที่แล้วล่ะ ต่างสถานที่ ต่างสถานการณ์ ล้วนต่างประสบการณ์เหมือนกัน เหมือนจิ้งจกที่เปลี่ยนสีตามสภาพแวดล้อม เราก็เป็นประเภทนั้นแหละ แต่เวลาไปเที่ยวนี่ก็ต้องดูด้วยว่าจะไปกับใคร แบบไหน จะได้เตรียมตัวถูก”
“.......................”
อาร์ทไม่พูดอะไร ปล่อยให้บทสนทนาจบลงแค่นั้น

บรรยากาศข้างนอกมืดสนิท ฝนเริ่มตกพรำๆ.........คืนนี้ท่าจะหนาว

19.07.2008
ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับการหายตัวไปของเบิร์ท แต่ไม่แปลกใจ คงเดินไปยังหมู่บ้านมอญที่ไหนสักแห่ง...........หลังจากสมบุกสมบันในการเดินทางเที่ยวขามาตามพ่อว่า ขากลับเที่ยวนี้อยากให้ถึงกรุงเทพเร็วตามกำหนดที่ควรจะเป็น จึงตัดสินใจกลับรถเที่ยว....สิบโมงครึ่ง....ของรถทัวร์ปรับอากาศป.2 จากสังขละไปหมอชิต โดยไม่ต้องต่อรถให้มันยุ่งยากใจเหมือนขามา

อาหารเช้ายังคงเป็น ข้าวต้มหมูสับ ปาท่องโก๋ และโอวัลตินเช่นเคย แอบหวาดระแวงเล็กน้อยเพราะตลอดการเดินทางเที่ยวขามา เก้าชั่วโมง ไม่มีการแวะข้างทางเพื่อเข้าห้องน้ำ ถ้าเกิดปวดท้องขึ้นมาจะให้ทำไง......

สิบโมงเช้า.........
ไปถึงท่ารถก่อนรถออกครึ่งชั่วโมง เพื่อไปจับจองที่นั่ง งานนี้ใครมาก่อนได้ก่อน ฉันย้ำกับเพื่อนทั้งสองว่า นั่งฝั่งขวาเท่านั้นนะ เพื่อนมันก็สงสัยว่าทำไมต้องนั่งฝั่งขวาด้วย หลังให้เหตุผลมันก็เข้าใจ เพราะขามาถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ข้างทางไว้ไม่ทัน คราวนี้อยากขอแก้ตัว ต้องได้สักภาพละน่า

หลังจากรถขึ้นเขา คดเคี้ยวเลี้ยวเลาะไปตามถนน อย่างชำนาญทางของผู้ขับขี่ หัวใจเกือบวายอีกครั้ง เมื่อจุดลงเขา คนขับดับเครื่องปล่อยเกียร์ว่าง แล้วอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลกพาไป หักหลบซ้ายที ขวาที รถวิ่งฉิวประหนึ่งนั่งรถไฟเหาะที่สวนสนุก ตอนรถไฟตกน้ำแล้ว.............สแปซ...........น้ำกระจาย พร้อมจุดสตาร์ทขึ้นเขา ตบเร่งเกียร์อีกรอบ ถ้าตัวเองอยู่ในสวยสนุกคงมีความสุขเอามากๆ แต่นี่สองข้างทางดันเป็นเหวลึกที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน กลับรู้สึกกระตุ้นโสตประสาทและหลับไม่ลง มีอาการอยากอ้วกขึ้นมาในบันดล คนนั่งข้างๆขอถุงพลาสติกที่อยู่ในมือ

“สงสัยเค้าจะทำรอบละมั่ง” อาร์ทพูดขึ้นขณะหันมามองหน้าฉัน ซึ่งนั่งแบบไม่ติดเบาะแล้ว
“งั้นก็น่าจะไปทำเวลา เอาตอนอยู่กรุงเทพสิ”
“อืม ก็ใช่”
กล้องที่ถืออยู่ในมือ พยายามกดชัตเตอร์หลายครั้ง แต่ไม่เป็นผลเพราะรถขับขี่ด้วยความเร็วสูง ภาพที่ออกมาเลยเบลอ
“สะพานรันตี” ฉันทักขึ้นพร้อมชี้ไปยังแม่น้ำที่อยู่ด้านล้าง
“อืม ถ่ายไว้สิ”อาร์ทเตือน

................แช๊ะ...............
(ปรากฏภาพที่ออกมา เป็นต้นไม้มาบดบังแทน โอววววว ไม่นะ)
เมื่อสองข้างทางกลับเป็นกำแพงไม้ป่าสีเขียวดังเดิม อาการเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากวันก่อนก็เริ่มเห็นผล แล้วพวกเราก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ มุ่งหน้ากลับเข้าสู่ตัวเมืองอย่างเงียบๆ กล่าวคำอำลาอำเภอที่เงียบสงบแห่งนี้ในใจ

ลาก่อน...............ดินแดนแห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
ลาก่อน...............ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ ตำนานผืนป่า และสายน้ำอันอุดมสมบูรณ์
ลาก่อน...............ลำน้ำสามประสบ ซองกาเลีย รันตี และบีคลี่

ความประทับใจในครั้งนี้จะยังคงอยู่อีกนานแสนนาน ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทั้งสอง ที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดีๆและทำให้การเดินทางครั้งนี้ได้อะไรมากกว่าที่คิด การเดินทางที่จุดประสงค์ต่างกัน

คนหนึ่ง...............เพื่อตามหาแรงบันดาลใจในการทำงาน
คนหนึ่ง...............เพื่อการพักผ่อนและหยุดความวุ่นวายเพียงชั่วครู่
อีกคน..................มาเป็นเพื่อนและเพื่อร่วมเติมเต็มความสุขให้อีกคน

แม้จะคนละจุดประสงค์หากแต่จุดหมายเดียวกันนั่นคือ
การได้มาสังขละ............สักครั้ง


(ดูภาพประกอบการเที่ยวครั้งนี้ได้ที่ http://warawan.multiply.com/photos/album/3/Sangkhlaburi)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น