ยิ่งสูงยิ่งหนาว
ใครหลายคนบอกถึงการเดินทางที่แสนจะลำบากไว้ว่า หลายคู่เลิกรากันไปเพราะความลำบากในการเผชิญหน้าแบบสัญชาตญาณดิบ การเอาตัวรอดและความเห็นแก่ตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคู่ก็สามารถพิสูจน์รักแท้และการเดินทางพิสูจน์คน ความจริงใจและการเสียสละที่มีให้เห็นตลอดทาง.......แต่สำหรับฉัน.........การเดินทางครั้งนี้นอกจากจะต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายแล้ว จิตใจอันแน่วแน่สำคัญยิ่งกว่า เพราะสองข้างทางที่จะก้าวในแต่ละท่วงที ใจที่ฮึดสู้เริ่มถดถอยลงผกผันกับระดับความสูงนั่นเสียนี่กระไร
“กิโลละ 15 บาท” เจ้าหน้าที่บอกฉันขณะจดตัวเลขลงในกระดาษว่า 5 กิโล พลันสายตาก็หันไปเห็นลูกหาบ ร่างกายกำยำแบกคานไม้ไผ่ยาวถ่วงกระเป๋าหลายใบที่ด้านหน้าและด้านหลังอย่างสมดุล การเดินขึ้นภูครั้งนี้มีแต่กล้องคู่ใจกับเงินติดตัวน้อยนิดเท่านั้น นอกนั้นขอฝากความหวังไว้กับลูกหาบอย่างที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆเค้าทำกัน ก่อนที่สัญญาณมือถือจะลดน้อยลงตามกำลังใจ แอบส่งข้อความทักทายเพื่อนเป็นการกระตุ้นตัวเองอีกครั้ง
“ลำปางหนาวมั้ยไม่รู้ แต่ภูกระดึงหนาวมาก”
ซำแฮก (แฮก...แฮก)
จุดพักด่านแรกซำแฮก ขอเติมเสียงต่อท้ายให้ดูสมจริงนอกจากแฮกเดียว เพราะเหนื่อยมากกกกกกกก แอบตะลึงในการเดินหาบของที่ดูมีจังหวะอย่างค่อยเป็นค่อยไป เสมือนการรำเซิ้งแบบนั้น ยก ย่อ ยืด ก้าวสลับซ้ายขวาแบบเอียงข้าง
“ต้องค่อยๆเดิน ค่อยๆก้าว จะได้ไม่เหนื่อย” ลูกหาบหญิงคนหนึ่งพูดกับฉันขณะที่เห็นฉัน ง่วนเดินดุ่มๆไปตามทาง
“เก่งจังค่ะ ไม่เหนื่อยเหรอค่ะ”
“ชินแล้วล่ะ การเดินขึ้นภูเนี้ยะ ก็เหมือนกับการอกกำลังกาย ต้องค่อยๆวอล์มร่างกายก่อน เดินช้าๆเพราะระยะทางยังอีกไกล เก็บแรงไว้ปลายทางด้วย”
“แล้วอีกไกลมั้ยค่ะ” ฉันเริ่มรู้สึกชาที่หัวเข่าขณะที่เดินคู่ไปกับลูกหาบคนนั้น
“ไม่ไกลหรอก เค้ามีที่พักเป็นด่านๆ ห่างกันประมาณโลสองโลนี่แหละ ระยะทางโดยรวมก็ประมาณ ห้ากิโลครึ่ง !!! ถ้าผ่านด่านแรกไปได้ก็สบายแล้วล่ะ เว้นแต่.........”
“อะไรเหรอคะ” ฉันถามขึ้นขณะที่เปลี่ยนการเดินจากการเดินตีคู่มาเป็นตามประกบรอยเท้า อาจดูเป็นจุดเล็กน้อยแต่สำหรับฉัน คิดว่าการเลือกที่จะเดินทางไหน เหยียบย่างยังไง สำคัญกว่าการเดินดุ่มๆตามทางของฉันเอง เรียกว่า ตามวัดรอยเท้าเลยก็ว่าได้
ซึ่งดูเหมือนว่าคู่สนทนาจะชินกับการเดินดีกว่า กิ่งไม้ แก่งหิน ร่องดิน ตลอดจนเถาวัลย์ที่ออกจะดูเหมือนตั้งใจทอดกายให้ผู้มาเยี่ยมชมเหยียบย่ำ ก่อนที่คู่สนทนาจะพูดต่อไป
“ก่อนถึงจุดสูงสุด สามร้อยเมตร................อาจจะดูลำบากหน่อย”
“...............” ฉันยังไม่อยากจะคิดถึงเส้นทางที่ไกลกว่านั้น
“ไปแวะทานน้ำที่ร้านป้าก่อนสิ ไม่ต้องรีบหรอก” นับเป็นคำเชิญชวนที่ได้ผล ฉันตกลงพักแรงในด่านแรก “ซำแฮก” พร้อมตรวจเช็คสภาพความพร้อมของคนในครอบครัว
กิโลเมตรที่สามกับขาสามข้าง
กลุ่มนักท่องเที่ยวทยอยขึ้นภูตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า โดยพร้อมเพรียง บ้างก็เดินเป็นหมู่คณะ บ้างก็เดินแบบฉายเดี่ยว ตลอดสองข้างทางที่สังเกตได้ พอเข้ากิโลเมตรที่สาม ความสูงมากขึ้น ความชันก็มากขึ้นตามลำดับ ขาข้างที่สามก็ปรากฏให้เห็นเกือบทุกคนที่เดินสวนไป “ไม้เท้า” จากเศษกิ่งไผ่ข้างทาง ดูเหมือนเป็นสิ่งจำเป็นและอาวุธประจำกาย การเดินทางของคนในครอบครัว ไม่ต่างจากการเดินทางมากับคณะเพื่อนฝูง เดินแบบไม่ต้องรอกัน ใครเหนื่อยก็พัก ใครยังไหวก็เดินต่อ แต่ละคนมีกล้องติดตัว มุมมองในการเลือกเก็บภาพแตกต่างกันไป ดังนั้น หากมัวแต่รอกันอาจทำให้การเดินช้าลงไปอีก ข้อสรุปจึงเป็นแบบนั้น “ตัวใครตัวมัน”
“ลุงๆทำไมหินมันถึงเรียงกันเป็นชั้นๆแบบนั้น” ฉันยังคงเป็นเจ้าหนูจาไมตลอดเส้นทาง หากแต่เปลี่ยนคู่สนทนา
“อ๋อ เค้ามีความเชื่อกันว่าใครเรียงหินแบบนั้น จะช่วยต่ออายุ ส่วนถ้าอยากเสริมดวงชะตาก็ให้เอากิ่งไม้ ไปคานกับแง่งหินแบบนู้น” ลุงหาบกระเป๋าคุยอย่างสบายอารมณ์ ไม่สะทกสะท้านกับเส้นทางหฤโหด แล้วฉันก็พยายามเบียงเบนความสนใจจากอาการเมื่อยล้า ด้วยการกดชัตเตอร์ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ
“ใกล้จะถึงแล้วล่ะ พยายามเข้านะ” กลุ่มผู้คนที่เดินทางกลับลงจากภูกล่าวให้กำลังใจกับคนที่กำลังจะขึ้นสัมผัสธรรมชาติอย่างฉัน ตลอดเส้นทางสายเล็กๆที่คดเคี้ยว
“เหนื่อยมั้ยครับ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยทักฉัน
“.............” ฉันยิ้มกลับไปให้ เป็นเสมือนคำตอบว่า เหนื่อยแต่ยังไหวอยู่ มิตรภาพเล็กๆที่เกิดจากการเดินสวนทางกันอาจดูผิวเผินและฉาบฉวย แต่ช่วยต่อเติมปลายเท้าและหัวเข่าให้ทำงานได้ต่อไป....ฉันคิด
เวลายังคงเดินต่อไป............เรื่อย............เรื่อย
และฉันยังคงเดินต่อไป............เช่นกัน
ทันทีที่ขาก้าวขึ้นบันไดจุดสูงสุดมาได้ก็ปรากฏพื้นที่ลานกว้างขวางและว่างเปล่าสลับภาพไปเป็นการ์ตูน มีคำกำกับพื้นที่ส่วนนั้น ...............คว้าง.!!! ................... และอีกาสีดำวิ่งผ่านหัวฉันไปพร้อมกับทิ้งร่องรอยสามจุดเป็นทาง “ภูกระดึง.....ถึงแล้วไง” ฉันพึมพำกับตัวเองเริ่มหายใจหอบแรงและสอดสายตาไปยังป้ายที่ตั้งเด่นเป็นสง่า ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง !!
“อา..........ธรรมชาติ !!” แอบประชดในความเหนื่อยและเมื่อยสุดๆ มองลงไปยังเบื้องล่างที่ที่พึ่งจากมา และไม่อยากจะคิดถึงขากลับลงไป ก่อนที่จะคิดถึงขากลับที่ดูจะยากกว่าขามาหลายเท่า เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากคนในครอบครัว
“เดี๋ยวต้องเดินไปที่พักอีก สามกิโลกว่า”
“ควับ !!” อาการหันหน้าไปยังคู่สนทนาอย่างฉับพลัน คงไม่มีอะไรจะยากกว่านี้อีกแล้ว...ฉันคิด
สามกิโล....โอเค
แม้นาฬิกาจะบอกเวลาว่าเที่ยงแล้ว แต่ลมไอเย็นยังคงลอยปะทะโลมไล้เลียหน้าอยู่ไม่ขาดสาย เหมือนมีใครแอบเอาเครื่องทำความเย็นไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้อย่างนั้น ขนาดเที่ยงยังไม่ร้อนแถมออกจะหนาวๆเย็นๆด้วยซ้ำ คืนนี้เจอกัน จะขอกอดหมอกซะทีเถอะ สภาพสองข้างทางระหว่างเดินไปที่พัก แม้จะเป็นสามกิโล แต่เมื่อเทียบกับความงามธรรมชาติ ป่าสนสีเขียวตัดกับท้องฟ้าสีเข้ม แต้มด้วยเมฆสีขาวดุจขนมปุยฝ้าย..........หายเหนื่อย..........(แต่เริ่มเมื่อยแทน...ฮ่าๆๆๆ)
การเดินทางที่ใช้เวลาร่วม 5 ชั่วโมง นับว่าเร็วเอาการอยู่จากสถิติของคนทั่วไป อยู่ที่ 6-7 ชั่วโมง เมื่อสมาชิกพร้อมเพรียงอาหารมื้อเช้าก็เริ่มขึ้น ราคาอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนของที่ระลึก จะสูงกว่าร้านธรรมดา สองเท่าตัว เช่น น้ำเปล่าจากขวดละ 12 บาท ก็กลายเป็น 20 บาท ข้าวราดแกงจาก 25 บาท ก็กลายเป็น 50 บาท อันนี้นบว่าเห็นใจ เพราะกว่าจะลำเลียงเสบียงและวัตถุดิบขึ้นมาได้ก็ยากเอาการ
กลิ่นเหงื่อ กลิ่นกาย ที่คละคลุ้งอยู่ในเสื้อมายาวนาน เห็นทีต้องอาบน้ำเสียแล้ว แต่ทันใดนั้นเอง เมื่อกระแสน้ำไหลพวยพุ่งออกจากฝักด้านบน
โครมมมม !!!!
เหมือนใครเอาก้อนหินขนาดใหญ่มาทุบหัว
“น้ำเย็นมาก.กกกก....กกกก” ฉันไม่คิดว่ามนจะเย็นยิ่งกว่าน้ำในตู้เย็นแบบนั้น ทำเอาตัวเขียว มือไม้สั่นแบบไม่เป็นจังหวะ โอยยยย เย็นเกินกว่าจะเรียกว่าหนาว ....เจ็บ...ดูเหมือนจะเป็นคำที่เหมาะกว่า ปลายเข็มนับร้อยๆแท่ง รุมทิ่มแทงเสียดผิวลงไปด้านใน เป็นไปตามคาดหมาย สมาชิกในครอบครัว ออกมายืนรอด้านนอกพร้อมเพรียง ปากเขียวกันไปตามๆกัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี อากาศไล่เลี่ยต่ำลง จุดหมายต่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น มองนาฬิกาครั้งสุดท้าย บอกเวลาสี่ทุ่ม ก่อนที่ไฟจะตัดลงและทุกอย่างก็มืดสนิทไปทั่วทั้งภู
การเดินทางขึ้นภูในช่วงขามาคงไม่นบว่ามากเกินไป เมื่อเทียบกับระยะทางในการเดินเที่ยวสถานที่ต่างๆบนยอดเขาแห่งนี้ เมื่ออาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวที่ตื่นเช้ากว่ามานั่งเก็บภาพบรรยากาศบริเวณริมผา หลายคนตื่นตีสี่ ตีห้า เพื่อเดินทางร่วมสองกิโล และนั่งทนอากาศอันหนาวเย็นนานหลายสิบนาที ก่อนที่พระอาทิตย์จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับหายตัวเข้ากลับเมฆอย่างรวดเร็ว แล้วท้องฟ้าก็สว่างจ้าในบัดดล ณ สถานที่แห่งนี้ ผานกแอ่น
กลับเข้าที่พักสำหรับเตรียมการเดินทางต่อไป ระยะทาง สิบหก กิโลเศษ !!! มองผ่านแผนที่อย่างรวดเร็ว เดินทางแข่งกับเวลาและแข่งกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆที่ทยอยขึ้นภูมาบ้างแล้วในวันหยุด แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีนักท่องเที่ยวมากมายจนเกินไป กลับรู้สึกว่าดีมากกว่า เมื่อสองข้างทางน้ำตกนั้นช่างดูไม่คุ้นหูคุ้นตาเอาเสียเลย ไอเย็นปะทะหน้าตลอดเวลาที่เดินเฉียดสายน้ำไหล แอบหยุดเก็บภาพเป็นระยะๆ เมื่อผ่านน้ำตกวังกวาง น้ำตกโผนพบ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกธารสวรรค์ แล้วมื้อเที่ยงก็เริ่มขึ้น เมื่อเกิดอาการหิวโซกันทั้งครอบครัว
มอสนับพันต้นถักทอปูเป็นพรมสีเขียวขนาดใหญ่ โอบล้อมไปด้วยเมเปิ้ลสีแดงที่ร่วงหล่นไหลผ่านธารน้ำประดับคริสตัลแวววาวระยิบระยับอยู่เหนือน้ำ หากนี่คือฝัน สถานที่แห่งนี้คือสวรรค์............ฉันคิด
เวลายังคงเดินต่อไป............เรื่อย............เรื่อย
และฉันยังคงเดินต่อไป............เช่นกัน
เหมือนเริ่มชินกับการใช้ชีวิตที่นี่การเดินทางสักสี่หรือห้ากิโลดูเหมือนเป็นเรื่องปกติข้อดีของการเดินทาง (ขอย้ำว่าเดินจริงๆ) สามารถเห็นรายละเอียดของสองข้างทางมากกว่า บางครั้งความงามจากจุดเล็กๆ อาจถูกมองข้ามเมื่อไม่ได้รับความสนใจ อย่างเช่น ต้นไม้ ดอกไม้เล็กๆ ที่อุตส่าห์สู้ลมหนาวแทรกตัวจากพื้นดินกำมะหยี่สีเขียว ต้องอาศัยภาพถ่ายแบบมาโครสุดชีวิต กว่าจะได้มาและก็ชื่นชมกับความพยายามของมันในการมีชีวิตเสียเหลือเกิน
ถ้าหลายคนเคยดูหนังจีนกำลังภายใน ที่ในป่ารกร้างสองข้างทางมีแต่ป่าเขา แล้วจู่ๆก็ปรากฏ.......โรงเตี้ยม.......นั่นช่างเป็นสวรรค์เสียนี่กระไร เพราะเดินทางร่วม ห้าชั่วโมง แปดกิโลผ่านไปนั่นคือสถานที่ที่จะมี (สุข)า
สุขาอยู่หนใด........คำถามแรกเมื่อปรากฏร้านขายของข้างทาง
ส้วมสุดคลาสิคแบบส้วมซึมที่มีประตูปิดเป็นผ้าม่าน ต้องใช้มือข้างหนึ่งจับม่านไว้ไม่ให้ไหวไปตามแรงลง อีกครั้งที่ไม่ได้รู้สึกหนาวเย็นเฉพาะขา แต่เป็นเริ่มชาที่ตูด
พักแรงกับริมผานาน้อย ซึ่งราคาอาหารยังคงเป็นสองเท่าจากราคาปกติ มองเมนูที่ติดอยู่ข้างเสา
ข้าวกระเพรา 45 บาท
ข้าวไข่เจียว 40 บาท
ข้าวสวย 20 บาท
ไข่ดาว ไข่เจียว 10 บาท
แล้วทั้งหมดก็มองหน้ากัน เออเว้ยเฮ้ย..........ที่ภูกระดึงก็มีร้านอาร์ตกะเค้าด้วยว่ะ (ค่าโปะไข่เจียวลงบนข้าว 10 บาทแบบฉบับโน้ต อุดม กร๊ากกกกกกกกกกกกก)
พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันออก
อารมณ์สุนทรีย์กันทั้งบ้าน เมื่อต้องการดูพระอาทิตย์ตกดิน เดินทางต่อไปหมายมั่นที่ผาหมากกูด อากาศเริ่มหนาวเย็น ลมโกรกจากด้านหน้าผาพัดมาไม่ขาดสาย จากเดินเที่ยวน้ำตก ไม้ป่า ผาสูง วันนี้พึ่งจะเข้าใจ Km.ของป้ายที่บอกตลอดสองข้างทาง ที่ไม่ได้หมายถึงกิโลเมตรแต่เป็นกิโลแม้ว!!!
ขาชาตั้งแต่เอวลงไปยันตาตุ่มแม้ครึ่งท่อนบนจะสนใจธรรมชาติที่งามตาก็จริง แต่ส่วนล่างนั้นช่างไม่สนใจเอาเสียเลย “กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง” พึมพำกับตัวเองขณะที่เห็นพ่อกับแม่ยังคงเริงร่าไม่รู้สึกเมื่อยล้าแต่อย่างใด........อึดชะมัด.....ฉันคิด
นั่งบวก ลบ คูณ หาร ระยะทางที่เดินเที่ยวมาในวันนี้ สิบหกกิโลเศษอาจดูมากอยู่ แต่น้อยลงไปในถนัดตา เมื่อโปรแกรมพรุ่งนี้ระยะทาง ยี่สิบเอ็ดกิโลเมตร (โอ้แม่เจ้า...................) ใกล้เวลาหกโมงเย็น ผู้คนต่างจับจองหน้าผา รอดูพระอาทิตย์เข้านอน ฟ้ากลายสี เริ่มถูกแต้มด้วยสีส้ม ผสมเมฆเจือจางและหลังจากนั้น
พระอาทิตย์หายไปไหน..............ไม่มีใครรู้...................
ถ้า
ถ้าไม่ได้ลางาน คงไม่ได้มาเที่ยวกับครอบครัว
ถ้าไม่ได้มาเที่ยวกับครอบครัว คงไม่ได้มาเที่ยวภูกระดึง
ถ้าไม่ได้มาเที่ยวภูกระดึง คงไม่ได้รู้จักคำว่าเดินทาง
ถ้าไม่ได้เดินทาง คงไม่รู้สึกอะไรกับโครงการกระเช้าลอยฟ้า
และถ้ามีโครงการกระเช้าลอยฟ้า ธรรมชาติจะไม่ได้ทำหน้าที่คัดสรรเลือกเฉพาะคนที่อยากมาจริงๆ
บางครั้งการได้อะไรมาง่ายๆก็มักไม่ได้มีผลดีเสมอไป ตรงกันข้ามยิ่งยากยิ่งท้าทาย ยิ่งยากยิ่งพยายาม เคยมีคนอายุที่มากที่สุดขึ้นมาเที่ยวภูกระดึง ตอนนั้นแอบสงสัยจะอายุเท่าไรกันเชียว ที่ว่าผู้สูงอายุ หลังจากสอบถามทางเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างตกใจ 80 ปี !!! แต่สามารถก้าวขึ้น ปีนป่ายและเดินทางมาถึงที่หมายได้ น่านับถือในความตั้งใจอย่างแท้จริง คิดถึงดอกหญ้าเหล่านั้น ช่างไม่ต่างกัน
เส้นทางธรรมชาติจักยังสวยงามอยู่อย่างนั้น ถ้าได้คัดสรรและเลือกผู้เดินทางที่มีใจรักจริงๆ....ฉันคิด
ได้เวลาซื้อของที่ระลึกฝากเพื่อนฝูง นอกจากตั้งใจจะเก็บภาพถ่ายไปฝากเพื่อนๆแล้ว โปสการ์ดที่ส่งตรงจากภูกระดึงดูเหมือนจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ก็แน่ล่ะในบรรดาของฝาก โปสการ์ดเป็นสิ่งเดียวที่ถูกที่สุด ฮ่าๆๆๆๆ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ดันลืมเอาที่อยู่ของเพื่อนๆมาด้วย โทษทีว่ะ โอกาสหน้าละกันนะ
อาการปวดขาเริ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่วันที่สองของการเดินทาง แต่เมื่อเทียบกับความสวยงามก็ต้องยอม เหตุผลของการอาบน้ำนอกจากชำระล้างความสกปรกและเหงื่อไคล รู้มั้ยว่าสามารถแก้อาการปวดขาได้ (จริงๆนะ) น้ำที่เย็นสุดๆเวลาเอาแขน ขา เข้าสู้ อาการปวดจะเริ่มชาและขาก็จะหายไปในทันที และตบท้ายด้วยยาพาราแก้ปวดสัก 2 เม็ด แอบดูพ่อกับแม่ยังหัวเราะร่าและดูเหมือนไม่เมื่อยเลยสักนิด เข้าใจแล้วล่ะ............ว่าฉันเอาความอึดมาจากไหน วัยรุ่นจริงๆ ไม่ได้เปรี้ยวขนาดจะนอนกางเต็นท์เพราะกลัวอากาศหนาวและก็เกรงใจพ่อกับแม่เห็นว่ามีอายุ (ที่ไหนได้วัยรุ่นอย่างเรากลับป๊อดมากกว่า) อาคารที่พักเป็นแบบเรือนแถวติดกันเป็นห้องๆมีฝากั้นแบบบางๆเท่านั้น
“เฮ้ย ใครจะเอายาคลายเส้นบ้าง” เสียงใครคนหนึ่งแทรกผ่านฝากั้นห้องแผ่นนั้น แทบอยากจะตะโกนตอบตามเสียงนั้นไป “ขอด้วยเม็ดนึง” 555
แล้วคืนนี้ที่ทุกคนเหนื่อยมาทั้งวัน หลับสนิท.......แบบเป็นตาย ปล่อยให้ขาที่ทำหน้าที่ของมันอย่างดีในช่วงเช้าได้พักผ่อนบ้าง ปล่อยให้มือทำหน้าที่แทนในช่วงกลางคืนด้วยการจดบันทึกไดอารี่ แล้วฉันก็ได้รู้ว่า.........ที่ภูกระดึงมีสถานีรถไฟ !!! (การนอนหลับที่หลังนี่มันซวยอย่างนี้นี่เอง)
ตามหาหัวใจที่หายไป
หากลองมองแผนที่ภูกระดึงให้ดีๆจะเห็นว่าลักษณะหน้าตาช่างคล้ายกับรูปหัวใจ !! ......และใช่.....ฉันตกหลุมรักภูกระดึงจริงๆ ที่ผ่านมาเดินทางสำรวจได้ครึ่งหนึ่งของแผนที่ พรุ่งนี้จะออกสำรวจแผนที่รูปหัวใจให้เต็มดวง หลายครั้งที่อิจฉาจักรยานที่ปั่นโฉบเฉี่ยวผ่านคณะเดินทางของเราไป แต่วันสุดท้ายก็ยังคงเน้นการเดินอยู่ดี ไหนๆก็เดินมาหลายวัน (อีกสักตั้งจะเป็นไร) เมื่อมองธรรมชาติสองข้างทางแบบเต็มตา มาถึงขาที่จะได้สัมผัสพื้นผิวที่แตกต่างออกไปบ้าง เพราะการมาภูกระดึง ถ้าสังเกตให้ดีจะมีลักษณะพื้นผิวดินที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็เป็นทรายสีขาวละเอียดยิบราวกับเม็ดเกลือที่โรยตัวตามโขดหินบ้าง แก่งดินบ้าง รู้สึกเหมือนเหยียบบนทรายที่อยู่ตามชายทะเล ถ้าเดินผ่านป่าสนก็จะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเหยียบบนกองฟาง แล้วก็พื้นดินแบบ Bubble Gump หนุบหนึบ หยึบหยับทุกครั้งที่เดินผ่านพื้นโคลนฉ่ำๆที่มี.......ทาก.........เป็นเพื่อนร่วมทางด้วย.....บรื๋อ
ผาหล่มสัก คือสถานที่สุดท้ายที่ฝากความหวังไว้กับเจ้าพระอาทิตย์ขี้อาย ขอสักช๊อตก่อนกลับลงภูเถอะ เมื่อผิดหวังกับการรอคอยของเมื่อวาน ดูเหมือนจุดสนใจของผาแห่งนี้จะมีที่เดียวเหมือนกัน นั่นคือ ส่วนที่ยื่นยาวทอดกายออกไปยังหน้าผาและตามหลังมาเป็นพรวนด้วยจำนวนคนที่มากมายยืนต่อเรียงคิว ณ ผาแห่งนั้น
ชีวิตสีเทา
มีใครคนหนึ่งถามฉันว่า ระหว่างกลางวันกับกลางคืนชอบเวลาไหนมากที่สุด ฉันตอบเขาไปว่า “ชอบเวลาโพล้เพล้ ช่วงต่อระหว่างกลางวันกับกลางคืน” มีความรู้สึกเสมอว่า เป็นช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลาย เมื่อมองดูท้องฟ้าเวลาแบบนี้จะเห็นท้องฟ้าแบบ.........วอลล์แพ็ดเดิลป๊อบ........ไอ้ติมหลากรสผสมรวมตัวแบบดินน้ำมัน........อืมมม........ แค่คิดก็ผ่อนคลายเห็นมะ !!!
บางครั้งการมองโลกในแง่ร้ายก็ไม่ได้มีผลร้ายเสมอไป เพราะการที่เรามองอะไรในแง่ลบก็มักจะต้องมองทางออก แผนสำรอง สำหรับการป้องกันตัวเองเอาไว้ แต่ถ้าควบคู่กับการมองโลกในแง่ดีในแบบสีขาวบ้าง ก็จะไม่ทำให้ห่อเหี่ยวกับการมีชีวิตจนเกินไป โลกสีเทาจึงเป็นโลกที่ฉันกำลังพยายามจะเป็น
หลายคนมีอาชีพการทำงานในเวลากลางวัน
หลายคนมีอาชีพการทำงานในเวลากลางคืน
หลายคนเหล่านั้นคงได้เจอกันสักที่ เมื่อถึงช่วงเวลาในยามพลบค่ำ
เมื่อทั่วทั้งภูมืดสนิท ไอติมสีรุ้งละลายหายไปในท้องฟ้า ดาวมากมายอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนผุดขึ้นแทรกม่านแห่งความมืด ใครเอาเศษกระจกโปรยลงมาจากฟ้านะ เคยไปท้องฟ้าจำลองสมัยละอ่อนตอนนั้นก็ตื่นตาตื่นใจกับโถงท้องฟ้าจำลองที่เนรมิตดาวให้พวกเราๆได้ดู นั่นว่าเจ๋งแล้วนะ แต่ภาพที่เห็นท้องฟ้าริมหน้าผาเบื้องหลังโค้งมนจรดเบื้องหน้า ย้อยต่ำลงมาแบบ 180 องศา ประดับประดาไปด้วยดาวนับไม่ถ้วน (ลองหลับตาแล้วนึกตาม โรแมนติคมั้ยล่ะ) แอบชื่นชมแล้วจับจองเป็นของตัวเอง ว่าแล้วก็อยากเอามาอวดเพื่อนๆ หยิบกล้องคู่ใจในกระเป๋ากะเอาดาวไปฝากเต็มที่
แช๊ะ !!!!!
(ภาพที่ปรากฏ.........มืด.........ดำสนิท........แล้วดาวหายไปไหน!!!)เหมือนธรรมชาติเบื้องหน้าจะบอกกับฉันว่า ความสวยงามบางครั้งก็ต้องมามองด้วยตาของตัวเอง
“นั่น หมาจิ้งจอก” ใครคนหนึ่งในขบวนที่เดินทางกลับที่พักร้องทัก ฉันหันไปดูด้วยความตื่นเต้น แต่แล้วหน้าก็ถอดสีลงเพราะไม่ได้มาแค่ตัวเดียว แต่มากันเป็นฝูง!!! ความกลัวปนสนุกเริ่มเข้ามาแทนที่ แบบไม่รู้ว่าจะกลัวรึว่าตื่นเต้นกับมันดี นั่นเป็นสาเหตุให้การเดินทางกลับที่พักต้องไปเป็นกลุ่ม นอกจากจะช่วยเพิ่มแสงสว่างให้กันและกันแล้ว ยังช่วยเพิ่มในเรื่องความปลอดภัย
กลางวันก็สนุกดี ส่วนกลางคืนก็ตื่นเต้นไม่น้อย แม้ภาพกลางคืนจะถ่ายไม่ได้เลยก็ตาม (แอบเสียดายที่กล้องคู่ใจ ดันไม่ชอบที่มืดๆ)
กลับถึงที่พักด้วยอาการเมื่อยล้าเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกแปลกไป วันรุ่งขึ้นก็ต้องกลับลงภูกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เรื่อยๆเรียบๆตามแบบฉบับพนักงานกินเงินเดือน ว่ากันว่าการมาภูกระดึงครั้งแรกเค้าเรียกว่า “บ้า” ส่วนการมาภูกระดึงครั้งที่สอง เค้าเรียกว่า “โง่” แต่สำหรับฉัน คนมันทั้งโง่และบ้า คงต้องหาโอกาสมาเป็นครั้งที่สองอีกครั้ง มากับครอบครัวยังสนุกขนาดนี้ มากับเพื่อนจะมันส์ขนาดไหน
ก่อนจากไปยังที่ที่จากมา หันกลับไปมองป้ายอีกครั้งที่ตั้งเด่นเป็นสง่า ณ ลานโล่งกว้างแห่งนั้น
ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง
เวลายังคงเดินต่อไป............เรื่อย............เรื่อย
และฉันยังคงเดินต่อไป............เช่นกัน
(ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่ http://warawan.multiply.com/photos/album/7/Phu_Kradueng)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น