ออกเดินทางด้วยความง่วงเต็มที่ จากนนทบุรีมุ่งหน้าสู่สนามบินดอนเมือง ซึ่งมาถึงที่หมายเร็วเกินคาด ตอนแรกคิดว่ารถจะติดด้วยความไม่ประมาท ออกจากบ้านมา 6:30 am ถึงท่าอากาศยานดอนเมือง 7:00 am ( โอ้มายยย...ยย) แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและนี่ เป็นการบินครั้งแรกในการทำงาน ดังนั้น อุปกรณ์และเอกสารข้อมูลต้องพร้อม มีเวลาเตรียมความพร้อมก่อนเครื่องบินจะออกราวๆ 1 ชั่วโมง จึงทำการสำรวจพื้นที่ มองหาที่นั่งไกลตาผู้คน และก็จัดแจงเอนหลัง “ น อ น ” มันซะอย่างนั้น !!
“ปิ๊งป่อง....”
เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง แอบขำไม่ได้เพราะมันเป็นภาษาท้องถิ่น
“ทั่นพู่โดยส้าน..นน ที่จะบินไปหาดยั๊ย..........” อ่านะ เล่นเอาขำไปนานทีเดียว
ถนน / เสาไฟ / อาคาร / บ้านเรือน / แม่น้ำ / พื้นที่ชุมชน / ต้นไม้ / เล็กลง / ไกลออกไป / ไกลมากขึ้น / หูอื้อ / ท้องฟ้า / หลุมอากาศ / ตื่นเต้น / ก้อนเมฆ / ลอย / แดด / ลมพัด / หน้าต่าง / ปีกเครื่องบิน / ความสูง / เมื่อย / อยากนอน / ไม่หลับ / มอง หน้าต่าง / แสงแดด / แสบตา / ปิดหน้าต่าง / เบื่อ / เปิดกระเป๋า / กล้องถ่ายรูป / ก้อนเมฆ / มองหา / ถ่ายรูป
ถึงท่าอากาศยานหาดใหญ่ เวลาท้องถิ่นโดยประมาณ 10 โมง กับคนขับรถที่รออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว (ไฮโซมั้ยล่ะ)
นั่งรถไปตามถนนที่สองข้างทางแลดูไม่คุ้นตา ต้นไม้มีมากกว่าที่คิดไว้ สถาปัตยกรรมการสร้างบ้านที่นิยมเป็นแนวราบมากกว่าแนวสูง และเห็นมัสยิดมากกว่าวัดไทย !!
(คำขวัญจังหวัดสตูล)
สตูล สงบ สะอาด ธรรมชาติบริสุทธิ์
พักกลางวันกับร้านอาหารข้างทาง “เนินเขา” ชุดขนมจีนที่มีน้ำยา 5 อย่าง กับผักสดเข่งเล็กๆเป็นการประเดิมแกงใต้ สร้างอารมณ์ว่าได้มาเยือนถึงถิ่นแล้ว รสชาติของแกงไตปลาไม่เผ็ดอย่างที่คิด ชวนให้นึกถึงแกงเผ็ด ผัดพริกต่างๆ ที่ขึ้นชื่อตามมา แต่ไม่ได้ “ชิว..ววว...ว” ขนาดนั้น งานยังรออยู่ข้างหน้า พยามยามบอกตัวเองไม่ให้นอกเส้นทางมากนัก
แต่งานก็เหมือนเป็นใจซะอย่างนั้น เสร็จตั้งแต่บ่าย 2 จึงแอบไปเดินเล่นริมหาด “สมิหลา” ถ่ายคู่กะเงือกทอง แสดงให้เห็นว่าไม่ได้แอบอ้างว่าไปบางแสนแล้วโมเมเอาเอง
ป้าขายน้ำริมข้างทางบอกว่า แม่ชีที่ปูเสื่อนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ตรงนั้น ดูดวงแม่นมากๆ ซึ่งราคาก็แล้วแต่ศรัทธา จะให้เท่าไรก็ได้ อย่ากระนั้นเลย ไม่อยากขัดศรัทธาป้าแกเค้า ยิ่งราคาเท่าไรก็ได้นี่ชอบเลย จึงเข้าไปดู เอาวะ !!
แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากคุยอะไรเลย ตาลุงแกก็เข้ามานั่งแทนแล้วก็เริ่มอ่านตามตำรา
ลุงหมอดู “ลูกเกิดวัน เดือน ปี ไหนล่ะ”
เรา “xx.xx.xxxx ค่ะ”
ลุงหมอดู “นี่ลูกสาวดวงดีนะนี่ อายุ 25 ปีแล้วหนิ”
เรา “ค่ะ”
ลุงหมอดู “นี่ๆ ดูหน้านี่สิ เค้าบอกว่าจะมีคนอุปถัมภ์ ส่วนหน้าถัดไปก็ว่าจะมีดาวศุกร์มาแทรก หน้าต่อไป...”
ตาลุงแกก็เปิดตำราให้เราอ่านเองเป็นหน้าๆไป พูดกลับไปกลับมา ประมาณ 4 รอบเห็นจะได้ คือหนูมาดูดวงอ่ะไม่ได้มาเรียนวิชาดูดวงซะหน่อย เล่นให้อ่านเองซะงั้น รู้นะว่าตาแกไม่ค่อยดี แต่แบบนี้ก็ไปหาหนังสืออ่านเองไม่ดีกว่าเหรอ ยิ่งไอ้ตอนถามเดือนเกิด
ลุงหมอดู “ลูกเกิดเดือนอะไรนะ”
เรา “เดือน 11 ค่ะ”
ลุงหมอดู “อ่อ เดือนตุลาคม อ่านะ”
ป่อย ป่อย ป่อย ลุงแกกะเล่นมุขรึป่าวมิทราบได้ แต่คิดในใจไปแล้ว เดือน 11 มันพฤศจิกายนนะ ไม่ใช่ตุลา แล้วที่ดูมามันจะแม่นมั้ยวะเนี่ย !! ไอ้เราก็นั่งขำเอิ๊กๆๆๆ
ลุงหมอดู “ลูกเป็นคนที่ไหนเหรอ” คงคาดเดาจากหน้าตาและสำเนียงว่าไม่ใช่คนท้องถิ่นแน่นอน
เรา “คนกรุงเทพค่ะ”
ลุงหมอดู “เนี่ย ดวงมันบอกว่าจะได้เดินทางไกลเชียวนะ”
เรา “………..”
ปัดโถ่ อันนี้ก็แน่นอนอยู่แล้ว จากกรุงเทพมาหาดใหญ่มันก็ไกลอยู่นา หลายกิโลเมตรอยู่อ่ะลุง หนูอุตส่าห์นั่งเครื่องบินเพื่อมาดูดวงกะลุงเลยนะนั่น กร๊ากกกกกกกกกกกกก ดีนะลุงแกไม่บอกว่า ดวงหนูจะได้เดินทางไปต่างจังหวัด ก็เพราะไอ้ที่อยู่นั่นน่ะไม่ใช่กรุงเทพแต่เป็นสงขลา O_o พอหลังๆเริ่มสมาธิแตกซ่าน ไม่ได้ฟังที่ลุงแกพูดแล้วอ่ะ แม่ชีก็เดินมานั่งและดูลายมือให้เป็นการตบท้าย ฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่งเพราะเป็นภาษาท้องถิ่น พอถึงตอนจ่ายตังค์ ตอนแรกคิดไว้ว่า ถ้าแม่นก็จ่ายมากถ้าไม่แม่นก็จ่ายน้อย แต่ลุงแกบอกว่า 100 บาท เราก็คิด “อ่าวเฮ้ย ไหนว่าตามกำลังศรัทธา” หนังสือดวงที่ลุงให้เปิดดูนั่นก็แค่ 30-40 บาท เองนะ แต่ก็จ่ายไป ก็ดวงมันบอกว่าเราน่ะเป็นคนใจดี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคน (แม่นก็ตอนนี้แหละ) เอาขำๆไม่อยากไรมาก ลุงแกเลยแถม แผ่นทองแดงสลักยันต์เอาไว้ทำสเน่ห์กับคาถามา 2-3 บท (จะเอาไปลองของกะใครดีนะ หึหึ)
ฟ้าเริ่มมืดลง คงต้องกลับที่พักก่อนค่ำ ที่ซุกหัวนอนในครั้งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหาดใหญ่ ผู้คนพลุกพล่าน มีนักท่องเที่ยวมาลงทัวร์กันมากมาย ซึ่งที่พักครั้งนี้คือ โรงแรมนิวซีซัน
พยายามสร้างเหตุการณ์ให้มันตื่นเต้น ก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพ อุตส่าห์เข้า Website Youtube ประมวลเรื่องราวสุดสยองขวัญ คลิปวิดิโอ ภาพถ่าย เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สยองขวัญต่างๆนาๆ โดยเฉพาะเรื่องเล่า ผีในโรงแรม ภาพสุดท้ายเป็นภาพที่ถ่ายจากหน้าต่างห้องพักไปยังตึกข้างนอก โดยถ่ายตึกที่เกิดเหตุไฟไหม้ (คาดว่าพึ่งไหม้ได้ไม่นาน โดยเดาจากเขม่าควันและซากไม้ที่ยังไม่ได้มีการเก็บกวาด) ลองขยายภาพนี้ดู อาจเห็นอะไรก็ได้นะ O_o
ออกไปเดินเล่นตลาดกิมหยง หาอะไรกินก่อนนอน ซึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดเห็นจะเป็น “ ไก่ทอด ” ก็นะ เห็นขายในกรุงเทพเยอะแยะ ไก่ทอดสูตรหาดใหญ่อย่างงู้อย่างงี้ อุตส่าห์มาถึงถิ่นจะพลาดของดั้งเดิมได้ไง ก็เลยซื้อไก่ทอดสูตรหาดใหญ่ ข้าวหมกไก่ โรตี และตบท้ายด้วยเซเวนเซ่น (เอ่อ..ออ อันหลังนี่ออกแนวไม่เกี่ยว แต่อยากกินเอง)
อิ่มหมีพีมันเพิ่มแคลลอรี่ ให้กับตัวเองแล้ว ก็ต้องผ่อนคลายด้วยการ “ นวด ” ซึ่งโปรแกรมการนวดที่ทางโรงแรมมีดังนี้
นวดแผนไทย 240 / 2 ชั่วโมง
นวดฝ่าเท้า 250 / 1 ชั่วโมง
นวดน้ำมัน 700 / 2 ชั่วโมง
ไม่เคยนวดแผนไทยเลยอยากลองดูซักครั้ง และก็เป็นราคาที่ถูกกว่าอันอื่นๆด้วย จึงตกลงปลงใจไปกับอันแรก
“ นวดแผนไทย ” ไอ้ที่เค้าลือๆกันว่ามันเจ็บน่ะ ไม่เท่าไรหรอก แต่มันยิ่งกว่าเหมือนกระดูกหักซะอีก หักแขน หักขา ดัดหลัง ยิ่งตอนทำสะพานโค้งแล้วเหวี่ยงตัวไปทางซ้ายที – ขวาที กระดูกงี้ดัง กร๊อบ กร๊อบ กร๊อบ เป็นจังหวะ 3 ช่าเลย สงสัยพี่แกคงคิดว่าเป็นจีจ้า ในเรื่องช๊อกโกแลตมั่ง ข้อต่อทุกส่วนได้ยินเสียง ก๊อก ทุกอัน ยกเว้น คอ (ยังดีที่เหลือไว้ ไม่งั้นคงคอหักตาย)
2 ชั่วโมง ยาวนานนนนนนนนน กว่าที่คิด อันไหนที่รู้สึกผ่อนคลาย ก็นวดซะอย่างรวดเร็ว อันไหนที่มันเจ็บ พี่แกอย่างกะรู้ ย้ำมันอยู่นั่นแหละ เฮ้อ! คืนนี้จะรอดมั้ยเนี่ย ไอ้เราก็กะว่า พรุ่งนี้ต้องเดินทางที่ไกลกะนวดให้ผ่อนคลายสบายตัว ที่ไหนได้ปวดเมื่อยเนื้อตัวมากกว่าเดิมอีก ตัวงี้ช้ำเป้นจ้ำๆ ตอนนอนก็อย่างกะโดนผีอำ ระบมไปทั้งตัว แต่ก็นะ จะได้รู้ว่าครั้งหน้าก็อย่านะน้องนะ
ตื่นเช้ามาสู่วันใหม่ 07.03.2008
(คำขวัญ จ.พัทลุง)
เมืองหนังโนราห์ อู่นาข้าว พราวน้ำตก แหล่งนกน้ำ ทะเลสาบงาม เขาอกทะลุ น้ำพุร้อน
ออกเดินทางไปพัทลุง แต่ก่อนอื่นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง จึงแวะร้านอาหารที่คนขับรถแนะนำว่า ห้ามพลาด
“ร้านโกตี๋โอชา” ขายบักกุดเต๋ สูตรสิงคโปร์ เออแฮะ ของเค้าอร่อยจริง ขนาด 8 โมงเช้าคนงี้เต็มเลย หาบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้ง่ายๆในกรุงเทพ เพราะสังคมออฟฟิศ 8 โมง คงกำลังรถติดอยู่บนถนน ไม่ก็รถไฟฟ้า หาร้านที่คนเข้ามากินในตอนเช้าก่อนทำงาน คงยาก !!
หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน กำลังเคลิ้มได้ที่เหลือบเห็นป้ายข้างทาง เป็นคำสั้นๆทีละแผ่น เหมือนพวกปิดทองลูกนิมิตร แต่ข้อความทำให้อดยิ้มไม่ได้
“ ลด - ความ - เร็ว - ลง - เดี๋ยว - นี้ ”
เฮ้ย มันสั่งว่ะ หายากนะนั่น ประโยคคำสั่งห้วนๆบนท้องถนน สมกะเป็นถิ่นคนใต้ “แรง” ดีจริงๆ แต่ก็เข้าใจว่าอุบัติเหตุเกิดบ่อยเพราะตลอดที่ขับผ่านมามีแต่รถเกิดอุบัติเหตุทั้งนั้น
แดดออก ฝนตก สลับไปมา จนอยากแอบป่วยขึ้นมาจริงๆ
ภารกิจเสร็จเร็วเกินคาดอีกครั้ง บ่าย 2 เที่ยวบินถูกเลื่อนออกไปเป็น 1 ทุ่ม มีเวลาเหลือเฟือ------ ชิวอีกแระ--------- โคลีเซี่ยมลีการ์เด้นส์ กับหนังใหม่ 10,000 BC กับค่าตั๋วที่น่าตกใจ 90 บาท โอ้มายย...ยยย หนังใหม่ในกรุงเทพ 140 บาทอ่ะ สนองตัณหาไปที แอบโทรเข้าออฟฟิศเย้ยหยันพอเป็นกระไสว่า มีอะไรอย่าพึ่งโทรมานะจะเข้าโรงหนังแล้ว ชิวว งานเสร็จแล้ว 555 คนที่ออฟฟิศทางนู้นจะอิจฉาตาร้อนกันมั้ย อันนี้ไม่รู้ แต่คนทำงานทางนี้สะใจ เอิ๊กๆๆๆ
กลับไปที่ตลาดกิมหยงอีกครั้ง สำหรับของฝาก พยายามมองหาเหล้าและบุหรี่แบบ cotton (ของฝากอบายมุขดีแท้) แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ พระเจ้าไม่เป็นใจ) มีแต่ผลไม้แช่อิ่ม อบแห้ง กะขนมยี่ห้อคุ้นตาแต่ไม่ใช่ของจริง หาซื้อได้ตามเยาวราชและสำเพ็งข้างทางทั่วไป แต่สุดท้าย “ซื้อ” อยู่ดี แล้วจะบ่นทำไมวะนั่น ถึงแม้ว่าคนรับอาจจะคิดว่าแอบไปซื้อที่หมอชิตกับอนุสาวรีย์ก็ตาม เด๋วนี้ไม่ต้องลากสังขารไปเพชรบุรีเพื่อซื้อข้าวหลามกับหม้อแกงแล้ว หน้าปากซอย ร้านขายของชำ มีของฝากตั้งแต่เชียงราย ยัน ปัตตานี ฉลากแปะ OTOP บอกชื่อจังหวัดมีทุกภาค จนจำไม่ได้แล้วว่าของฝากแต่ละถิ่นคืออะไรบ้าง
(คำขวัญ จ.สงขลา)
นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานติณ ถิ่นธุรกิจแดนใต้
ใกล้เวลากลับกรุงเทพเต็มที คนขับรถมารับไปที่สนามบินรออยู่แล้ว การมาครั้งนี้เหนื่อยเที่ยวมากกว่าเหนื่อยทำงาน
“ปิ๊งป่อง....”
เสียงประกาศเตือนของเจ้าหน้าที่ภายในสนามบิน เตือนถึงเรื่องการนำของเหลวขึ้นเครื่อง ว่าบรรจุของเหลวห้ามเกิน 100 มล. ทำให้นึกถึงขวดแชมพู ยาสระผม และครีมอาบน้ำที่วางขาย ทำไมเค้าไม่ทำขวด 100 มล. ขายมั่งนะ
“ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 1236 มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง ขณะนี้เครื่องบินพร้อมให้บริการแล้วค่ะ”
แบกสัมภาระขึ้นเครื่องไปตามทางเดิน แอบสบตากับพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ภาพตัดไปยังฉากตบตีกันในเรื่องสงครามนางฟ้า สลับกับภาพเหตุการณ์จริงพนักงานยืนยิ้มสวยพร้อมยกมือไหว้กล่าวสวัสดี แอบอมยิ้มไม่ได้ เบื้องหลังสาวสวยสูงโปร่งคนนั้น จะเป็นรินหรือเชอร์รี่กันนะ
เครื่องบินเริ่มเอียงลอยสูงชัน พยายามมองฝ่าไปในความมืดและสายฝนที่ตกพรำๆนอกหน้าต่าง “ไม่เห็นอะไร” ในใจคิด เอ็งอย่าฟุ้งซ่าน หลับตาแล้วนอนซะ
ถึงดอนเมือง ประมาณ 3 ทุ่ม หวังไว้ว่ามีคนมารอรับ ไม่มีอ่ะ อ่อลืมตัว ไม่ใช่ดารา !! กลับเข้าสู่โลกของการทำงานอีกครั้ง
ขอบคุณพี่น้องชาวใต้ที่ทำให้มีเรื่องราวมากมาย
ขอบคุณป๊ากับม้าที่ยอมให้ไปต่างจังหวัด
ขอบคุณบริษัทที่จ่ายตังค์มาให้ได้ทำงาน + เที่ยว
และขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบบรรทัดสุดท้าย
ขอบคุณอีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น