05 เมษายน, 2551

ทริปเสม็ดกะที่ออฟฟิศ

5.04.2008
เริ่มต้นการเดินทาง เช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2008 “ 7 โมงเช้า ” คือเวลานัดหมายก่อนออกเดินทาง พนักงานกินเงินเดือนที่เริ่มงาน 9 โมงเช้า ซึ่งมาทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่พอนัดเพื่อจะไปทริปเสม็ดครั้งนี้ “ทุกคนตรงเวลาอย่างไม่น่าเชื่อ” และแม้ว่าการเดินทางในครั้งนี้ จะไม่ได้หรูหราไฮโซเหมือนครั้งก่อน แต่การเดินทางโดยสารไปกับรถตู้ที่วิ่งเส้นทางนี้เป็นประจำ ก็ดูจะเข้าท่ากว่า “เซ็นจูรี่ ไป บ้านเพ” อัตราค่าโดยสาร 200 บาทต่อคน (นับว่าโอเค สำหรับคนงบน้อย)

ตัดฉากการเดินทางด้วยความเร็วสูง กับ Speed Boat พร้อมจังหวะเพลงเด๊นซ์กระจายสไตล์บ้านนอก คนขับเรือดูเหมือนจะสนุกอยู่คนเดียว ขณะที่ลูกเรือทั้งหมด คอยลุ้นไปกับการตีโค้งวงสวิงของเรือ (แล้วมันจะคว่ำมั้ยเนี่ย !!! ) ถึงแม้กระนั้น นิ้วก็ยังกดชัตเตอร์ถ่ายไปเรื่อยๆเหมือนเดิม

หาดที่หมายมั่นปั้นมือ จะไปคราวนี้คือ หาดลุงหวัง ซึ่งจากการคาดคะเนและทำการสำรวจในตอนแรก คิดว่านักท่องเที่ยวคงมาพักกันไม่มาก หาดทรายและน้ำทะเล คนคงเล่นกันไม่เท่าไร แต่ผิดคาด !!

เมื่อเหยียบเท้าก้าวขึ้นสู่ผิวหาด ผู้คนก็เริ่มทยอยกันมา ยิ่งอากาศเย็นลงเท่าไร นักท่องเที่ยวก็ดูหนาตามากยิ่งขึ้นเช่นกัน ที่พักขนาด 1 เตียง 2 คนนอน ราคา 2500 บาท ทำเลที่ดีที่สุดของรีสอร์ทเลยก็ว่าได้ ตื่นนอนเปิดประตูปุ๊บก็เจอทะเลเลย โดดเด่นเป็นสง่าล้ำหน้าบ้านพักหลังอื่นๆ

ส่วนบ้านพักอีกหลัง เน้นความมันส์เป็นหมู่คณะ 2 เตียง 4 คนนอน พร้อมระเบียงรูปเรือ สำหรับโจ๊ะครึ่ม ดึ๊งดึ่ง เวลากลางคืน สนนราคา 3500 บาท หากมีคนนอนเพิ่มหัวละ 200 บาท (200 น่ะค่าน้ำ-ค่าไฟ หากอยากได้อุปกรณ์พร้อมชุด หมอน ผ้าห่ม ผ้าขนหนู แบบ Full Option ราคา 350 บาท เห็นมั้ยล่ะ ธุรกิจดีแท้ !! )

ตกเย็น มื้ออาหารค่ำที่หาดวงเดือน หาดที่นี่รายล้อมไปด้วยร้านอาหารมากกมาย จนอดสงสัยไม่ได้ว่า นักท่องเที่ยวเค้ามารวมตัวกันอยู่ที่นี่ตอนกลางคืนเป็นประจำรึป่าว รูปแบบการนั่ง มีให้เลือกหลายสไตล์ นั่งแบบโต๊ะ-เก้าอี้ แบบปูเสื่อ หรือแม้กระทั่งแบบขันโตก พร้อมกับการแสดงโชว์ควงกระบองไฟ แม้ว่าจะเคยผ่านตามาแล้วหลายครั้ง หากแต่ต่างสถานที่ การแสดงก็ยังคงตื่นตาอยู่ดี กลับจากที่พักด้วยอาการที่ง่วงและอิ่มเต็มที่ ต่อด้วยกิจกรรมคลาสิคสำหรับแก๊งค์ชาวสาวโสด “เล่นไพ่” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้หมดตัว เซรงงง คืนนั้นแอบหลับอย่างเครียด ๆ


06.04.2008
ตื่นเช้ากับการท้าแดด ไม่กลัวยูวีและมะเร็งผิวหนัง ชักชวนสมาชิกชักภาพมุมดีๆ เกือบ 10 ใบ (สวยโดยไม่ต้องรีทัช เพราะแดดดี) แต่เบื้องหลังแอบ ซันบล๊อก ทุกๆ 10 นาที 555 สุดท้ายก็กลัวดำ

อาหารมื้อเที่ยง ตั้งใจไว้ว่าจะไปชิวแถวหาดทรายแก้ว เป็นหาดทรายที่ดูขาวและสะอาดตา มากกว่าบางแสนและพัทยา ชนิดที่ว่าเทียบกันไม่ติด แต่บรรยากาศโดยรอบก็ดูเป็นธุรกิจเกินไป ไม่สงบเท่าที่ควร แม้จะดูหรูหราไฮโซแต่ก็ยังแอบชอบหาดที่เราไปพักมากกว่า สงบและชิว ดูส่วนตัวกว่าเยอะ

อีกครั้งกับความพยายามโพสท่าหากิน ซึ่งไม่สำเร็จซะที !!!

อาหารจานเด็ดที่หนีไม่พ้น ตั้งแต่ขามา-ยันขากลับ “ส้มตำ” ดูเหมือนจะเป็นเมนูยอดฮิตติดปากไปโดยปริยาย แอบเป็นเจ้าหนูจาไมอีกครั้ง ที่บังเอิญไปเห็นเลขโต๊ะ ผ.11 อืม...มม หาคำตอบอยู่ชั่วครู่ เดาไปต่างๆนาๆ และคิดว่าน่าจะย่อมาจาก โต๊ะไม้ไผ่ ที่ 11

ขากลับฝากท้องไว้กับโรตีข้างทาง ธรรมดา 20 ใส่ 2 อย่าง 30 บาท (แม้จะแพงเกินราคาปกติอยู่กว่าเท่าตัว แต่รสชาติจัดว่าโอเค หากใครชอบโรตีกรอบ แนะนำว่าห้ามพลาด !!)


กิจกรรมริมหาดทราย

อาหารค่ำ ย่านบ้านพักหาดลุงหวัง ราคาแพงหูฉี่จนน่าตกใจ
ข้าวผัดกระเพรา 120 บาท
หมูผัดพริกราดข้าว 120 บาท
ข้าวผัดหมู 120 บาท
สรุปว่าอะไรๆ ก็ยืนพื้นที่ราคา 120 บาทเป็นขั้นต่ำ ราคาค่าอาหารแพงกว่าหาดวงเดือนและหาดทรายแก้วที่ไปกินมา เรื่องของเรื่องมื้อค่ำสุดท้าย อยากนั่งร้านสไตล์ Jazz & Bossanova ปิ้งบาร์บีคิวหน้าหาด เจอราคาเข้าไปถึงกับสั่งอาหารกันไม่ออก สรุป ข้าวผัดอเมริกัน คนละจาน ป่อย !!

กิจกรรมก่อนนอน ยังคงเป็นการเล่นไพ่เหมือนเดิม หากกติกาสอดคล้องกับสภาพคล่องทางเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากมีคนด้อยสติปัญญาทางด้านอบายมุขอย่างเราอยู่ การเล่นไพ่กินตังค์ จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร อย่ากระนั้นเลย เปลี่ยนกติกาเล็กน้อย โดยที่คนแพ้ต้องกินน้ำเปล่าในปริมาณครึ่งแก้ว สืบเนื่องจากเป็นคืนสุดท้ายและยังคงเหลือน้ำอยู่ด้วยกันถึง 12ลิตร!! ดังนั้น จึงมาดูแล๊ ดูแล สุขภาพด้วยการดื่มน้ำเปล่ากันเถอะ

น้ำ 12 ลิตร กับการใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง หมดเกลี้ยงงงงง

ช่างเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างดีแท้ อิ่มและอืดน้ำกันเป็นแถว รวมทั้งเราด้วย O_o คืนนั้น นอนไม่เต็มอิ่ม ลุกกันเข้าห้องน้ำสลับกันเป็นว่าเล่น ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย ดีนะ ที่ทริปนี้เหลือแค่น้ำ ถ้าดันเหลือโซดาขึ้นมา จะว่ายังไง !!

07.04.2008
เก็บข้าวของเตรียมเข้าสู่สภาวะแห่งความเป็นจริง การทำงานยังคงรออยู่ แม้จะมีช่วงเวลาอันสั้น หากแต่ทุกคนพยายามเก็บเกี่ยว กอบโกย ความสุขและความประทับใจอย่างเต็มที่ บางครั้งก็คิดว่าเป็นการดี ถ้าเราทำงานให้มาก ทุ่มเทให้มาก เหนื่อยให้มาก เพราะเมื่อเราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง เพื่อนฝูง และครอบครัว เราจะพบว่ามันมีค่า เป็นช่วงเวลาผ่อนคลายและมีความสุขมากแค่ไหน มีคนเคยกล่าวไว้ว่า

“จะไม่รู้ค่าของคำว่าชนะ หากไม่รู้จักคำว่าแพ้” ก็เช่นเดียวกัน
“จะไม่รู้ค่าของความสุข หากไม่เคยผ่านคำว่าทุกข์มาก่อน”


แต่ถึงยังไง ที่ทำงานเล็กๆ ย่านใจกลางเมืองแห่งนี้ ยังคงให้อะไรดีๆ เสมอมา คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก

กลับไปยังท่าเรือที่เสม็ดอีกครั้ง คณะเดินทางแห่งบริษัทหรรษาเดินลงจากเรืออย่างช้าๆ สวนทางกับนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเดินทางมาถึง หันกลับไปมองยังท้องทะเลเป็นครั้งสุดท้าย เวลาพักผ่อนของพวกเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น !!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น