11 กันยายน, 2549

เกาะสีชัง

เป็นการเที่ยวที่ประทับใจที่สุดในการเที่ยวมาทั้งหมด เหนื่อย ลำบาก สนุก (บอกไม่ถูก เอาเป็นว่ามีครบทุกรสชาติ ) หัวข้อในการทำศิลปนิพนธ์ในปีสุดท้ายก่อนจบการศึกษา เราทั้งคู่ (หมายถึงเราและเพื่อนอีกคน) ตั้งใจจะหาข้อมูลและถือโอกาสเที่ยวทิ้งทวนก่อนที่จะไม่มีโอกาสอันนั้นอีก เนื่องจากการทำศิลปนิพนธ์นั้นค่อนข้างหนักเอาการอยู่ ซึ่งครั้งแรกว่าจะไปเที่ยวที่เชียงใหม่แบบอารมณ์ขึ้นเหนือดูธรรมชาติ เงียบๆ พักสมอง

......................หากแต่ขัดกับเพื่อนอีกคน......................

“ไม่เอาอ่ะ เดินขึ้นเขา เหนื่อย” อาทมักพูดแบบนี้เสมอ เวลาเราเสนอโปรแกรมท่องภูต่างๆ
“อ่าว งั้นจะไปไหนล่ะ”
“ไปทะเล เอาแบบใกล้ๆอ่ะ จะได้ไม่เหนื่อย”
“อ่อ งั้นบางแสนมั้ยล่ะ” เราประชดเข้านั่น
“นั่นก็เกินไป สกปรก ไปนี่ดีกว่า เกาะสีชัง”

หลังจากนั้นอาทก็เป็นคนจัดแจงทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลาการเดินทาง ตารางรถ คำนวณค่าใช้จ่าย ตลอดจนเป็นคนสำรวจข้อมูล อาทน่ะเค้ามาหาข้อมูลทำงานจริงๆ ส่วนเราก็ขออาสาแอบมาเที่ยว (ไม่ได้เกี่ยวกับงานเรียนแต่อย่างใด)

การเตรียมตัวไปเที่ยวครั้งนี้ ค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อย ง่วงสุดๆ
“ก้อจายให้ไม่ง่วงด้ายงาย ก้อออกจากบ้านมา ตี 5”

........เริ่มต้นการเดินทางที่ ปิ่นเกล้า........

คลำๆทางระหว่างนั้นไปถึงเอกมัยซึ่งตีตั๋วไปศรีราชา เสียค่ารถคนละ 85 บาท และต้องนั่งรถสามล้อให้ไปส่งที่ท่าเรือข้ามไปยังเกาะ เวลาในการนั่งเรือก็ประมาณ 45 นาที แอบตื่นเต้นตลอดเลยล่ะ ไม่ใช่เพราะนั่งเรือหรอกนะ แต่เป็นชาวญี่ปุ่นกลุ่มข้างๆที่มาด้วยตะหาก (อยากคุยๆๆ แต่พูดไม่เป็น) ระหว่างทางก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นระยะๆ ฝีมือถึงแม้จะสมัครเล่นแต่ก็เอามาอวดเพื่อนๆได้อยู่...งิงิ

(ถ่ายขณะเรือกำลังมุ่งหน้าไปยังเกาะสีชัง)

พอขาทั้งสองข้างสัมผัสพื้นปุ๊บ สูดอากาศเข้าเต็มปอด
เราก็เหมา “มอไซค์ ทันที (วันละ 300 บาท) และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลาในการสำรวจเกาะ เราก็ไปหาที่พัก เพื่อเก็บสัมภาระที่ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ ทริปคราวนี้เอาของไปน้อยมาก กระเป๋าเป้คนละใบเท่านั้น ที่พักก็มีหลายราคาตั้งแต่ 400 ยัน 1400 (จริงๆอยากกางเต็นท์นอนมากกว่า) สำรวจตรวจตราอยู่หลายที่ก็ตกลงปลงใจกะ สีชังวิว รีสอร์ท เนื่องจากเป็นรีสอร์ทที่มีจุดชมวิวสวยที่สุดของเกาะ (หาดเขาขาด) เค้าว่ากันอย่างนั้น ราคาค่าห้องก็ไม่แพงขนาดรับไม่ไหว (เพราะเราเลือกแบบถูกสุด 555 )

ส่วนค่าอาหารที่นี่ก็มีราคาพอๆกาน ไม่ว่าจะกินในรีสอร์ทหรือจะกินแบบลูกทุ่ง ๆหน่อย สุดท้าย ข้าวผัดปู ก็จานละ 45 บาทอยู่ดี งบการเงินในการมาเที่ยวครั้งนี้ก็ประมาณ 1000 กว่าบาท (2วัน 1 คืน) ไม่รวมของฝากและสินค้าฟุ่มเฟือยนะ


เมื่อได้ที่พักแล้ว ได้รถมอเตอร์ไซค์แล้ว จัดแจงกระเป๋าเสื้อผ้าแล้ว เรา 2 คนก็ขี่รถไปสำรวจเส้นทางบนท้องถนนภายในเกาะพร้อมกระเป๋ากล้องคู่ใจ ว่ากันว่าเป็นอำเภอเดียว ที่ไม่มีแยกไฟแดง โอววววว ก็รถออกจาน้อยขนาดน้านนนน มิน่า ถึงเป็นที่ชื่นชอบของนักปั่นจักรยานทั้งหลาย แต่เรากะอาทคงปั่นไม่ไหวมีหวังกลับไปน่องโตแน่ๆ แม้รถบนถนนจะไม่ค่อยมี แต่ว่าเส้นทางที่นี่ก็คดเคี้ยวและสูงๆต่ำๆ ระดับน้ำทะเลเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย (งงจริงๆ)

การเดินทางรอบเกาะใช้เวลาน้อยมาก มาถึงเกาะในตอนเช้า เย็นๆหน่อย ก็เที่ยวได้รอบเกาะแล้ว เกาะสีชังเป็นกิ่งอำเภอในจังหวัดชลบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 18 ตารางกิโลเมตร ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาประมาณ 12 กิโลเมตร

พระจุฑาธุชราชฐาน (ท่าวัง)พระราชวังจุฑาธุชราชฐานนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับเมื่อเสด็จแปรพระราชฐาน มายังชายฝั่งตะวันออก และเป็นที่ประทับรักษาพระองค์ หรือตากอากาศของพระบรมศานุวงศ์ เนื่องจากทรงพระราชดำริว่า เกาะสีชังมีภูมิสถาน และอากาศดี การก่อสร้างนี้ ประกอบไปด้วยตึก 3 หลังคือ ตึกวัฒนา หลังสิบแปดเหลี่ยม ตึกผ่องศรี หลังยาวชื่อ ตึกอภิรมย์ แม้จะผ่านลมผ่านฝน ผ่านแดดมานับร้อยปีจนชำรุดทรุดโทรมลงไป แต่กรมศิลปากร ได้บูรณะปฏิสังขรณ์ ขึ้นใหม่ พระราชวังจุฑาราชฐานนี้ ประกอบด้วย พระที่นั่ง 4 องค์ ตำหนัก 14 หลัง ศาลา 1 หลัง

สิ่งก่อสร้างสำคัญแห่งหนึ่งที่ไม่ควร พลาดชมก็คือ วัดอัษฎางคนิมิตร ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการ สร้างพระราชฐาน ณ. เกาะสีชัง จัดเป็นพระอารามขนาดเล็ก อยู่เชิงยอดเขาพระจุลจอมเกล้าด้านใต้ ชายหาดที่นี่ยังสามารถเล่นน้ำได้ด้วย ชื่อ หาดทรายแก้ว

วัดจุฑาทิศธรรมสภารามวัดจุฑาทิศธรรมสภาราม จัดเป็นพระอารามหลวงที่พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. 2435 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ปัจจุบันแม้จะผ่านการปฏิสังขรณ์หลายครั้ง แต่ยังคงความงามไว้ได้ โดยเฉพาะ อุโบสถ หอระฆัง พระพุทธบาทจำลอง และพระประธาน ปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะ ที่งดงามมาก

เจ้าพ่อเขาใหญ่ นอกจากจะเป็นที่เคารพสักการะของคนสีชังแล้ว ยังเป็นที่สักการะที่ชาวต่างประเทศให้ความเคารพนับถือกันมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีน มีคนมาบวงสรวง กราบไหว้กันอย่างเนืองแน่น เจ้าพ่อเขาใหญ่ยังเปี่ยม ด้วยคุณค่าทางสถาปัตยกรรม และศิลปกรรม เช่นกระถางธูป เสาระเบียง และรูปบูชาต่างๆ
รอยพระพุทธบาท เหนือศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ขึ้นไป บนเขาจะเป็นที่ตั้งของรอยพระพุทธบาทที่ อัญเชิญมาจากอินเดีย และเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทั้งสองนี้อยู่สูงสุดของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดบนเกาะสีชัง ที่สำคัญสำหรับคนรักธรรมชาติ บนยอดเขาแห่งนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่งดงามมาก จะมองเห็นตัวเกาะสีชังทั้งเกาะ รวมถึงเกาะขามใหญ่ และทะเลกว้างไกล และต้นไม้น้อยใหญ่ บนเขาแห่งนี้ยังมีเจ้า กระรอกขาววิ่งบนต้นไม้ ให้เห็นเป็นบุญตาอีกด้วย


พระเหลืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขากลางเกาะ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ที่นี่เป็นวัด และมีถ้ำจักรพงษ์ ซึ่งเป็นผลงานของธรรมชาติ นักท่องเที่ยวนิยมไปไหว้พระ นอกจากนั้นบนเนินเขานี้ ยังมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล แม้จะไม่สูงมากเหมือนจัดชมวิวอันเป็นที่ตั้งของรอยพระพุทธบาทก็ตาม เดินลงจากวัดจะเห็นเก๋งจีนเก่าคร่ำครึ แต่ซ่อนไว้ด้วยความสวยงาม เป็น เก๋งจีน สมัยรัชกาลที่ 5 พระราชทานไว้สำหรับประกอบพิธีการต่างๆ แยกซ้ายไปอีกนิดก็จะถึง ศิลาจารึก บนแผ่นหิน ที่ตั้งใกล้สนามฟุตบอลประจำเกาะ แผ่นหินขนาดใหญ่นี้จะ สลักเรื่องราวความเป็นมาของ เกาะสีชัง

แหลมถ้ำพังชายหาดที่นี่คลื่นแรงเป็นลูก นักท่องเที่ยวนิยมไปเล่นน้ำ แม้แต่ชาวเกาะเองก็ชอบไปเล่นน้ำ เล่นคลื่น ที่สำคัญแหลมนี้ เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม และเป็นที่แค้มปิ้งได้ มีห้องน้ำ มีร้านค้าได้พออาศัย วิธีการก็คือใช้บริการสามล้อ ให้ไปส่ง และนัดให้ไปรับในวันถัดไป

ช่องเขาขาดเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามเช่นกัน แต่ไม่มีที่แค้มปิ้ง ลมจะแรง บริเวณนี้นิยมเป็นที่ตกปลา ในกรณีที่นักท่องเที่ยวไม่อยากนั่งเรือออกไปลอยลำ สามารถนั่งตกปลาที่นี่ได้ และอยู่ไม่ไกลจากที่พักย่านชุมชน สามารถเดินเท้าได้สบายๆ

เกาะขามใหญ่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านที่มีไม่กี่หลัง หากคุณอยากไปเที่ยวชมก็ใช้บริการเรือเหมาไปส่ง บนเกาะขามใหญ่พอมีที่เล่นน้ำ ตรงบริเวณหมู่บ้าน และมีที่ตกปลาตามโขดหินต่างๆ รอบเกาะขามใหญ่ไม่มี รีสอร์ท แต่หากจะไปแค้มปิ้งก็พอไหว

หาดน้ำใสมาก เสียดายไม่มีที่ให้ลงเล่น (นั่นแหละมันเลยไม่สกปรก)

รถมอเตอร์ไซค์คันเล็กมุ่งหน้าไปตามเส้นทาง สายถนนที่ปลอดรถมากที่สุดเท่าที่เคยเห็น เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของเกาะยังไงยังงั้น คงเป็นเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาลหรือหยุดยาว เลยไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวให้เห็น

“อาท เย็นนี้เรากลับที่พักกันนะ ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกัน” แรงลมปะทะหน้าเป็นระยะๆ จนหน้าเริ่มตึงๆ
“จะกลับรีสอร์ทเหรอ เราว่าไปที่หาดดีกว่า กว่าขี่รถไปถึงที่พักพระอาทิตย์คงตกดินไปแล้ว”
“แต่ว่า.....”

ก็ที่เราเลือก สีชังวิว รีสอร์ท ก็เพราะว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดนะ แล้วไมไปดูที่หาดแทนเล่า รู้งี้ก็ไม่เสียตังค์ค่าที่พักแพงๆหรอก เฮ้อ สุดท้ายเราก็เลือกมาดูพระอาทิตย์ตกน้ำ ที่ หาดอัษฎางค์ ตอนแรกขอบอกว่า เซ็งๆอ่ะ ก็อยากไปดูตรงที่พักนี่นา ชอบขัดใจเรื่อยเลย ที่หาดคนเยอะจะตาย จะไปโรแมนติกได้ไงเล่า โธ่เอ้ย....ยยยย


“ค่าเช่าเรือเท่าไรครับ” อาทถามเจ้าของเช่าเรือคยัค
“ ชั่วโมงละ 100” ดูเหมือนเค้าทำท่าจะเก็บเรือ พอเห็นเรา 2 คน ก็เริ่มเปลี่ยนใจ
“เราว่ายน้ำไม่เป็นอ่ะ” เราพูดแทรกขึ้นมากลางคันเผื่ออาทลืมว่าเราว่ายน้ำไม่เป็น
“เค้ามีเสื้อชูชีพหรอกน่า” อาทจ่ายตังค์ไปแล้ว ยังไงก็คงต้องพายเรือคยัคอยู่ดี

แสงอาทิตย์ค่อยๆอ่อนลง คนริมหาดเริ่มทยอยกันกลับขึ้นฝั่ง ซึ่งสวนทางกับเราทั้ง2 ที่พายเรือออกจากฝั่งไป แม้ว่าในสายตาเราอาทจะไม่ใช่คนโรแมนติค แต่ว่าการพายเรือดูพระอาทิตย์ตกน้ำนี่เป็นอะไรที่ดูออกจะผิดคาด

"สวยดีเนอะ" ประโยคบอกเล่าที่พูดแก้เขินไปอย่างนั้น ไม่รู้จะพูดอะไร ทำตัวยังไง แม้เป็นเพื่อนกันมา 4 ปี แต่พอมาอารมณ์ซึ้งๆแบบนี้ก็เล่นทำอะไรไม่ถูกเอาเหมือนกัน
...............
...............
...............

ตูม...มมมมม....มมมม
"อ่าว เฮ้ย..ย.ยย"
อาทกระโดดลงน้ำไปแล้ว เหลือเราอยู่บนเรือนั่งมองตาปริบๆ
"ว่ายน้ำเล่นดิ นั่งทำไรเฉยๆบนเรือ"
"ก็ว่ายไม่เป็นอ่ะ"
"งั้นก็พายตามมาล่ะกัน"
"....."

ไม่กี่อึดใจ อาทก็ว่ายไปถึงฝั่ง เราเองก็พายเรือตามไปติดๆ(ไรเนี่ย) ถึงแม้จะมีเวลาทำซึ้งแค่1 ชั่วโมงแต่ก็เอาน่าถือว่าคุ้ม T_T

คนที่นี่อัธยาศัยดีมั่กมาก (ทั้งคนและหมา) พูดถึงหมา หมาที่นี่เยอะสุดๆ ไม่รวม กิ้งกือ ที่อยู่บนถนนที่มีมากมายก่ายกองเช่นกาน (บรื๋อ....อ.ออ.)

ขากลับอ่านะ ก็อดที่จะแวะไปเกาะลอยไม่ได้ เหมาสามล้อ (40 บาท) ไหน ๆก้อมาแล้น..นน ไปให้อาหารเต่ากล่องละ 10 บาท เรียกได้ว่าเป็นการเที่ยวที่สนุกมากเลยล่ะ เป็นอันจบการท่องเที่ยวเกาะสีชัง

(ดูภาพเพิ่มเติมจากการเที่ยวครั้งนี้ที่ http://warawan.multiply.com/photos/album/5/Si-Chang_Island)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น